×

ระหว่างทางขึ้นเขาเพื่อไปวัดถ้ำเสือ

ภูฏาน (Bhutan) ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีค่าดัชนีวัดมวลรวมความสุขของประชากรสูงที่สุดในโลกยังคงเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางมากมาย ยิ่งการไปถึงภูฏานไม่ยากลำบากเหมือนเมื่อก่อนยิ่งทำให้ประเทศบนแนวเขาหิมาลัยนี้ยิ่งเนื้อหอม เพียงแต่ต้องติดต่อผ่านบริษัททัวร์และจองทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเดินทางเข้าภูฏาน เมื่อนักท่องเที่ยวไม่สามารถไปแบบวอล์กอินได้จึงทำให้ที่นี่ยังคงควบคุมเรื่องการท่องเที่ยวไว้ได้ในระดับหนึ่ง

ฉันมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนแห่งมังกรกับทริปสื่อมวลชน ซึ่งเจ้าภาพจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวไว้ให้เราไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ หลายแห่งทีเดียวในเวลา 4 วัน แม้จะเป็นทริปที่เหนื่อยและทรหดมากสำหรับฉันที่เมารถเกือบตลอดการเดินทาง และต้องมาเดินขึ้นเขาเป็นกิโลๆ เพื่อไปกราบนมัสการพระประธานที่วัดทักซัง (Taktshang Dzong) หรือวัดถ้ำเสือ (Tiger's Nest) วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูฏาน ณ เมืองพาโร แต่ก็เป็นการเดินทางครั้งหนึ่งที่ฉันประทับใจที่สุด

โปรแกรมขึ้นเขาไหว้พระครั้งนี้เริ่มตั้งแต่เช้าวันที่ 3 ของการเดินทาง วันที่เราพอปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับที่นั่นได้แล้ว ที่เริ่มแต่เช้าเพราะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการขึ้นและลง วัดทักซังตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 900 เมตรจากพื้นล่าง ในหุบเขาพาโร ด้วยระดับความสูง 3,120 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นที่เคารพสักการะของชาวพุทธในภูฏานที่ทุกคนตั้งใจว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องขึ้นไปสักการะให้ได้
ส่วนชื่อเรียก "ถ้ำเสือ" ของวัดนี้ได้มาจากตำนานที่เล่าขานต่อๆ กันมาว่า พระรินโปเชผู้เผยแผ่นิกายมหายานในภูฏานได้ขี่หลังเสือเหาะมายังหน้าผาแห่งนี้ และเข้าไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำเป็นเวลาถึง 3 เดือน หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2227 จึงเริ่มมีการสร้างวัดขึ้นที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าวัดนี้ถูกไฟไหม้จนเสียหายมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ทุกครั้งเช่นกันด้วยศรัทธาของพุทธศาสนิกชน เพราะแค่คิดว่าต้องขนข้าวของขึ้นลงก็เหนื่อยแล้ว

การเดินทางขึ้นวัดทักซังมี 2 วิธี คือ ใช้บริการม้า และเดินขึ้นด้วยกำลังของตัวเอง ตอนนั้นฉันผู้ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่ได้เตรียมตัวมาเดินระยะทางไกลขนาดนี้ แถมต้องขึ้นเขาด้วย เลยเลือกอย่างแรก แม้จะไปได้แค่ครึ่งทางก็ยังดี ซึ่งไกด์มีข้อแนะนำว่า ระหว่างนั่งบนหลังม้าอย่าโอนเอนโยกตัวไปมาหรือทำอะไรให้ม้าตกใจ เพราะข้างทางซ้ายขวาที่เป็นทางเดินของม้านั้นไม่มีอะไรกั้นเลย ถ้าพลาดคือตกเหว แต่ไกด์อุตส่าห์ให้กำลังใจว่าไม่ค่อยเคยมีใครตกหรอก ฉันเลยบอกตัวเองว่าข้าพเจ้าจะเชื่อฟังคำแนะนำอย่างเคร่งครัด การขี่ม้าเลยเหนื่อยกว่าปกติ เพราะเราเครียดและลุ้นตลอดทางไม่ให้ม้าไต่ไปชิดขอบหน้าผามากเกินไป เรียกว่าลุ้นจนลืมมองทิวทัศน์ข้างทางไปเลย ได้มามองไปรอบๆ ให้ชื่นใจหายเกร็งก็เมื่อมาถึงคาเฟทีเรียที่เป็นจุดพักครึ่งทางของการเดินทาง จากระเบียงที่นั่งพักเมื่อแหงนมองขึ้นไปเราจะเห็นทักซังเด่นอยู่บนชะง่อนผาข้างหน้า ดูแล้วน่าจะอีกไม่ไกล เลยทำให้พอมีกำลังใจเดินต่อไปหลังจากที่ม้าไปส่งเราได้อีกนิดเดียว

ตอนแรกเราใส่เสื้อกันหนาวกันมาเต็มที่ (เดือนมกราคม) พอเริ่มเดินโดยมีไม้เท้าช่วยพยุง หลายคนค่อยๆ ถอดบางชิ้นออก เพราะระหว่างที่ขี่ม้าเราเจอกับแสงแดดที่ร้อนแรงแบบใกล้ชิด ทำให้รู้สึกอุ่นจนร้อนเมื่อออกมาอยู่กลางแดด แต่พอเข้าไปใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือภูเขาก็กลับหนาวขึ้นมาทันที ฉันเตรียมแต่เครื่องป้องกันความหนาว แต่ลืมนึกถึงแสงแดดซึ่งขอย้ำว่า...แรงมาก โชคดีที่มีผ้าพันคอพอมาช่วยป้องกันได้บ้าง

คณะของเราทยอยตามกันขึ้นไปจนถึงทักซัง แต่ละคนได้รับประสบการณ์ที่ไม่ต่างกันนัก คือ สู้ไม่ถอย ไหนๆ ก็มาเกินกว่าครึ่งทางแล้ว เดินขึ้นลงเขาอีกพักหนึ่ง เหนื่อยก็พัก ไม่ช้าไม่นานก็ถึงชะง่อนผาที่เป็นจุดหมาย สิ่งที่ประทับใจคือ ระหว่างทางเพื่อนร่วมทางช่วยดูแลห่วงใยกัน ให้กำลังใจกันอย่างดี

จากจุดสูงสุดที่เราไปถึงนั้น เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างจะรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของศรัทธาที่สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา ความเหน็ดเหนื่อยมลายหายไปทันทีที่ได้ยืนนิ่งๆ มองไปรอบตัว บนเขาทักซังมีวัดหลายแห่งให้เราได้ชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมและศิลปะที่อยู่ภายในวัด น่าเสียดายที่วัดทุกแห่งในประเทศภูฏานไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในวัด แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าอยากรู้ว่าข้างในมีอะไรน่าชมแค่ไหนก็ต้องมาเห็นด้วยตา...ด้วยใจที่ศรัทธาของตัวเอง

เราใช้เวลาชมวัดพร้อมกับพักกันจนขากลับมามีกำลังวังขาขึ้นแล้ว ก็ถึงเวลาลงจากเขา ขอบอกว่าขาขึ้นที่ว่ายาก ขาลงมากลับเหนื่อยกว่าอีกเยอะ ตอนนี้ทำให้คิดได้ว่ารองเท้าสำหรับเดินมีส่วนสำคัญมาก เพราะถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาจะลื่นง่าย ทำให้เดินลำบาก ต้องเกร็งเท้าให้ยึดเกาะพื้น โดยเฉพาะช่วงที่เป็นทางลาดลง เราจึงเห็นคนลื่นคะมำไถลลงมาหลายคน

น้ำใจระหว่างทาง

เกือบถึงแล้ว

มาถึงภูฏานแล้วจริงๆ

ฉันบอกทุกคนว่าเดินนำและแซงไปเลย ไม่ต้องรอ ฉันจะขอเดินไปพักไปตามกำลังของตัวเอง โชคดีมีน้องช่างภาพที่ไปด้วยคอยเดินประกบเป็นเพื่อนจนไปถึงจุดพัก ซึ่งจัดอาหารกลางวันไว้รอเราแล้ว การได้พักเอาแรงกินอาหารกลางวันที่คาเฟทีเรียทำให้ทุกคนฮึดกันอีกรอบ เพราะจากจุดนี้ลงไปถึงเชิงเขาไกลกว่าช่วงเมื่อกี้มาก แล้วมีหลายช่วงที่ตอนขี่ม้าขึ้นมาเรารู้สึกหวาดเสียว พอเดินลงก็รู้สึกไม่ต่างกัน ตอนนี้ไม้เท้าที่เขาแจกมามีประโยชน์มากในการทรงตัว ช่วงนี้ฉันเดินไปกับกลุ่มน้องๆ อีก 4 คนที่สปีดเท่าๆ กัน การเดินไปคุยกันไปทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ฉันผู้ไม่เคยออกกำลังกายจริงๆ บอกทุกคนว่า วันนี้คงเป็นวันที่เดินมากที่สุดในชีวิตแล้วละ แต่สู้ เพราะรู้ว่าแม้จะเหนื่อยมากๆ เดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าไม่ได้มานี่สิคงจะเสียใจไม่หายแน่ๆ เพราะแม้จะลงมาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย แต่เมื่อมองกลับขึ้นไปบนยอดเขา เห็นวัดที่เกาะอยู่บนหน้าผาสูงเทียมเมฆที่เราเคยเห็นในรูปภาพและไม่คิดว่าจะขึ้นไปถึง เราก็ยิ้มด้วยความอิ่มใจว่า...

ครั้งหนึ่งในชีวิต...ฉันคนปีเสือได้ดั้นด้นขึ้นไปถึงวัดถ้ำเสือแห่งภูฏาน และมาถึงภูฏานแล้วจริงๆ