
นาริตะ...สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด
อรุณี ชูบุญราษฎร์ | writer | 09 February 2019
อรุณี ชูบุญราษฎร์ | writer | 09 February 2019
สนามบินนาริตะสำหรับฉันคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการเดินทางเมื่อมาเยือนโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นในสมัยที่ยังไม่มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ลงจอดที่สนามบินฮาเนดะ และเมื่อมีสนามบินฮาเนดะที่อยู่ใกล้เมืองกว่า มีเที่ยวบินกลางคืนที่เพิ่มเวลาการเที่ยวของเราได้อีกหนึ่งวันเต็มเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ฉันจึงต้องนอกใจนาริตะไปผูกสัมพันธ์กับฮาเนดะจนแน่นแฟ้น จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้เที่ยวบินการเดินทางไม่ลงตัว ไม่มีทางเลือก ฉันจึงได้กลับมาใช้สนามบินนาริตะเป็นจุดสุดท้ายในการเดินทางออกจากญี่ปุ่น ครั้งนี้ฉันเดินทางกับพี่น้องที่ทุกคนไม่เคยมาเที่ยวโตเกียวกันเลย จึงเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องเป็นคนวางโปรแกรมสำหรับทุกคน
เที่ยวบินในวันเดินทางกลับของเราเป็นตอนห้าโมงเย็น ฉันคิดว่าถ้าพักในโตเกียว วันเดินทางกลับแม้จะเป็นตอนเย็นแต่เราก็ต้องออกจากโตเกียวไปสนามบินตอนสายๆ หรือบ่ายต้นๆ ซึ่งทำให้เสียเวลาในช่วงเช้าจนถึงเวลาเดินทางไปกับการรอ และต้องเผื่อเวลาค่อนข้างมากกับการเดินทางโดยรถไฟ ฉันเลยปรึกษาทุกคนว่า ถ้าอย่างนั้นวันก่อนวันเดินทางเราน่าจะไปค้างที่โรงแรมใกล้สนามบินกันดีกว่า เดี๋ยวฉันจะหาข้อมูลมาว่าใกล้ๆ สนามบินนาริตะมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง
และเมื่อค้นข้อมูล ชื่อแรกที่ปรากฏขึ้นมาคือ วัดนาริตะซังชินโชจิ (Naritasan Shinshoji Temple) วัดเก่าแก่แต่โบราณในเมืองนาริตะ ซึ่งนักเดินทางจะมาไหว้เพื่อขอพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ทุกคนเลยลงคะแนนเป็นเอกฉันท์ว่า ถ้าอย่างนั้นไปพักและเที่ยวแถวสนามบินกัน เพราะไหนๆ ทริปนี้เราก็เน้นวัด เน้นการเดินชมสถานที่มากกว่าการชอปปิงอยู่แล้ว ปิดทริปด้วยการไหว้พระก็เป็นมงคลดี
เราเดินทางไปถึงโรงแรมในตอนบ่าย หลังจากเช็กอิน เก็บสัมภาระเรียบร้อย ทุกคนก็พร้อมกันที่ล็อบบี้เพื่อขึ้นชัตเทิลบัสของโรงแรมไปลงที่หน้าสถานีรถไฟนาริตะ จริงๆ ระยะทางไม่ไกล แต่ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะการจราจรในเมืองเล็กช่วงนั้นค่อนข้างติดขัด จุดหมายของเราคือเดินเที่ยวชมเมืองและไปยังถนน Omotesando ถนนการค้าที่เป็นเส้นทางเดินจากเนินทอดยาวลงไปประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงหน้าวัดนาริตะซังชินโชจิ ถนนแคบๆ นี้มีรถวิ่งขึ้นลงได้ การเดินจึงค่อนข้างลำบากนิดหนึ่ง และแม้คนขับรถเขาก็มีน้ำใจ แบ่งปันทางกับคนเดินเท้า แต่เราก็ต้องระวังนิดหนึ่งนะคะ โดยเฉพาะช่วงที่เป็นโค้งถนน
ฉันมาญี่ปุ่นแทบทุกปีติดต่อกันมาหลายปีแต่ไม่เคยมาเที่ยวที่นี่เลย ได้ยินแต่คนพูดถึง แต่ไม่คิดว่าเส้นทางโอโมเตะซันโดจะน่ารักขนาดนี้ สองข้างทางเป็นร้านค้า สินค้ามีทั้งของชำที่ชาวญี่ปุ่นใช้ในชีวิตประจำวัน สินค้าที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ขนมต่างๆ ร้านขายผ้าไหมที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ร้านอาหาร ซึ่งที่เห็นมีอยู่หลายร้านคือร้านขายปลาไหล แต่ที่เป็นจุดไฮไลต์คือ ร้าน Kawatoyo ซึ่งไม่ต้องมองหาให้ยากเลย เพราะเดินไปตามทางจะเจอร้านอยู่ทางฝั่งขวามือ หน้าร้านมีการทำปลาไหลตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงการย่างให้ชม ก่อนตัดสินใจว่าสงสารปลาไหลแล้วเดินผ่านเลยไป หรือตามกลิ่นอันหอมหวนนั้นเข้าไปนั่งแล้วสั่งมาชิม สำหรับเราขอเดินผ่านก่อนค่ะ ขากลับค่อยว่ากันอีกที
ช่วงที่เราไปฟ้ามืดเร็ว ตอนที่ไปถึงหน้าวัดพระอาทิตย์จะเลิกทำงานแล้ว ประตูทางเข้าวัดนาริตะซังที่เห็นอยู่ข้างหน้าจึงดูขรึม ขลัง อลังการ ทั้งด้วยบรรยากาศและจำนวนผู้มาสักการะที่เหลือน้อยแล้วจนดูสงบและงดงาม วัดนาริตะซังชินโชจิเป็นวัดที่อยู่มายาวนานเกินพันปีแล้ว และได้รับการบันทึกเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
จากทางเข้าต้องเดินขึ้นบันไดหินไปจนถึงประตูโซมงที่มีโคมแดงให้เดินลอดผ่าน ตรงทางเข้าก่อนถึงตัววัดมีหินรูปเต่าขนาดใหญ่ให้เราหยุดแวะ เพราะมีความเชื่อว่าใครที่โยนเหรียญไปแล้วค้างอยู่บนหลังหินรูปเต่าได้โดยที่เหรียญไม่ตกลงน้ำ คำอธิษฐานของคนนั้นจะเป็นจริง ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะมาขอพรให้เดินทางปลอดภัย ส่วนคนญี่ปุ่นนิยมขอเรื่องการงาน ความรัก
ด้วยความเชื่อว่าวัดนาริตะซังเป็นวัดที่มีเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่รวมกันมากมาย ทำให้ในวันขึ้นปีใหม่จะมีผู้คนหลั่งไหลมาขอพรกันแบบไม่มีพื้นที่ให้เราได้ยืนหมุนรอบตัวชมความงามของวัดแบบนี้เลยละค่ะ แต่ต้องไหลไปตามการเคลื่อนตัวของผู้คน
ในปี 2018 วัดได้จัดงานฉลองครบรอบ 1,800 ปี (ฉันยืนดูป้าย พยายามดูให้แน่ใจว่า 1,800 ปีไม่ผิดนะ) จึงมีการบูรณะวัดในบางส่วนเพื่อให้สวยงามสมกับเป็นวัดสำคัญของประเทศ
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดจนมืด เหลือเพียงแสงสว่างเรืองๆ จากโคมไฟที่นำเราเดินกลับลงมาที่ด้านหน้าวัด ขากลับร้านค้าเริ่มปิดกันแล้วรวมทั้งร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดัง เราจึงฝากท้องไว้กับร้านฝั่งตรงกันข้ามที่มีอาหารหลากหลายให้เลือก ป้าๆ ที่ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารต้อนรับขับสู้และดูแลให้เราอิ่มหนำกันอย่างดี
จากตรงนั้นเราเลือกเดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังศูนย์การค้าที่ขายของฝากและเป็นจุดขึ้นรถชัตเทิลบัสกลับโรงแรม เป็นการเดินเที่ยวเมืองในความมืดขึ้นๆ ลงๆ เนินเขากันไปตามการนำทางของกูเกิลแมปส์ที่พาเราผ่านสวนของวัด ผ่านซอยเปลี่ยว ท่ามกลางความตื่นเต้นของทุกคน แต่ที่นี่คือญี่ปุ่น เรื่องความปลอดภัยยังพอไว้ใจได้ แถมเจอชาวเมืองนาริตะที่กำลังเดินกลับบ้านคอยชี้ทางให้ตลอดทางจนไปถึงที่หมายได้
เพื่อให้คุ้มค่ากับเวลา เช้าวัดถัดไปเราจึงนำกระเป๋าไปฝากที่สนามบินแล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ อีกสักที่ให้คุ้มกับเวลาที่มีอยู่อีกนิดในนาริตะ...เมืองสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดประจำทริปญี่ปุ่นครั้งนี้