×

เยือนซานตง (กันต่อ) เที่ยวจี่หนานเมืองสาวงาม สำรวจรอยยุโรปที่เมืองชิงเต่า

เศรษฐพงศ์ เผ่าวัฒนา | writer | 18 January 2018

หลังติดตามเรื่องราวการเดินทางของเศรษฐพงศ์ เผ่าวัฒนา ที่พาเราสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวกับ TTAA และ China Holidays ตามเส้นทางชิงเต่า-หลินอี้-จ่าวจวง-ชวีฝู่-ไท่อัน (ภูเขาไท่ซาน)-จี่หนาน จากการเดินทางด้วยสายการบิน Nok Scoot ดอนเมือง-ชิงเต่า ในภาคแรก (เยือนซานตง ดินแดนแห่งขงจื๊อ และธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ของเขาไท่ซาน) ก็ได้เวลาติดตามการเดินทางครั้งนี้กันต่อด้วยอีกสองจุดหมายปลายทางในมณฑลซานตง คือ จี่หนาน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองน้ำใส สาวงาม และชิงเต่า ที่มีการวางผังเมืองแบบยุโรปและครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองเขตเช่าของเยอรมนี เชื่อว่าหลังติดตามครบจบทริปแล้วหลายคนจะหลงรักมณฑลซานตงจนอยากเดินทางไปเยือนด้วยตัวเอง


จี่หนาน (Jinan) เมืองน้ำใสและสาวงาม 
เมืองนี้อาจไม่คุ้นหูนักเดินทางที่ไม่คุ้นเคยกับประเทศจีน แต่ใครที่สนใจประวัติศาสตร์อาจพอทราบว่าเจียงชิง ภรรยาคนที่สี่ของประธานเหมา เจ๋อตงเป็นสาวเมืองจี่หนาน และที่ไม่ค่อยทราบก็คือ ภรรยาคนก่อนหน้าเจียงชิงก็เป็นคนจี่หนานเช่นกัน แม่น้ำและทะเลสาบของที่นี่รวมทั้งบ่อน้ำผุดให้น้ำใต้ดินที่ใสสะอาด ใครมาที่นี่ต้องหลงรักต้นหลิว เพราะปลูกเต็มสวนสาธารณะ ยิ่งริมทะเลสาบหรือแม่น้ำ แม้แต่คลองเล็กๆ ต้นหลิวที่เก่าแก่เหล่านี้ส่ายกิ่งส่ายใบอ่อนโยนตามลม เป็นภาพที่ชวนชื่นตาจริงๆ

นอกจากบ่อน้ำที่ผุดจากใต้ดินก็ยังมีน้ำพุร้อนจำนวนมากมายกว่า 140 แห่ง แต่ที่น่าไปชมคือบ่อน้ำผุดที่สวนสาธารณะ Baotu Spring Park ดูจากภายนอกเหมือนสวนสาธารณะแบบเก่า เพราะสิ่งปลูกสร้างในนี้มีรูปแบบจีนโบราณไปจนถึงจีนยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ที่ยืนยันถึงอายุของสวนนี้ก็คือเหล่าต้นหลิวที่มีขนาดใหญ่มาก และแผ่กิ่งก้านสาขาห่มคลุมบริเวณสวนจนแทบจะมองขึ้นไปไม่เห็นฟ้า

ในสวนนี้มีบ่อน้ำที่เกิดจากน้ำผุดจากใต้ดินที่ระดับน้ำจะคงที่แบบนั้นชั่วนาตาปี เขาตกแต่งเป็นสวนแบบจีน สถาปัตยกรรมอย่างเก๋งจีน หินรูปทรงแปลกๆ และต้นหลิวดูกลมกลืนสร้างบรรยากาศที่นักเดินทางใฝ่ฝันถึงความงามของสวนแบบจีน บ่อหรือสระน้ำที่เป็นจุดเด่นจะมีน้ำผุดขึ้นมากลางสระสองจุดอยู่ตลอด น้ำใสมากจนมองเห็นก้นสระ เรานั่งเรือชมทะเลสาบต้าหมิงหูที่มีเนื้อที่กว่าสี่แสนตารางเมตร แต่เราแค่นั่งเรือผ่านคลองขุดที่เชื่อมมาถึงสวนนี้เพื่อผ่านประตูน้ำที่กั้นประตูเป็นชั้นๆ ให้เรือผ่านแม้ระดับน้ำในคลองช่วงนั้นจะต่างกันมาก ทะเลสาบแห่งนี้สวยงามจริงๆ เรามาช่วงดอกบัวออกดอกบ้าง แม้จะไม่มากแต่ดอกใหญ่กลีบซ้อนสวยงาม ใบบัวขนาดใหญ่ที่ขึ้นเป็นดงริมตลิ่งนั้นสวยงามเหลือเกิน สมแล้วที่คนจะชมว่าจี่หนานคือเมืองที่มีธรรมชาติงดงาม

อาคารสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณและงานประติมากรรมในเมืองจี่หนาน

สัมผัสแห่งเยอรมนีในชิงเต่า (Qindao)
การเดินทางเข้าสู่เมืองชิงเต่าในปัจจุบันถ้าใช้สะพานชิงเต่าไห่วานจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ทางด้านวิศวกรรมของจีน เพราะสะพานแห่งนี้เป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก คือ 42.5 กิโลเมตร ย่นระยะเวลาจากเส้นทางถนนเดิมไปถึงสองชั่วโมงกว่าๆ และยังมีอุโมงค์เจียวโจวที่เป็นเส้นทางการเดินทางลอดผ่านใต้ทะเล ไม่แปลกใจที่ตัวเมืองชิงเต่าจะมีความคับคั่งของการจราจร เพราะที่นี่เป็นเหมือนเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจของซานตง

หลายคนคุ้นชื่อชิงเต่าจากชื่อของเบียร์ซึ่งมียอดจำหน่ายเป็นอันดับต้นๆ ของจีน แต่ถ้านำยอดขายในต่างประเทศมารวมด้วยก็น่าจะเป็นอันดับหนึ่งของจีนได้ เราสามารถชมโรงงานเบียร์เก่าแก่ที่อายุครบ 100 ปีเมื่อ 3 ปีที่แล้วได้ โดยคนที่เข้าชมโรงงานชิงเต่าจะได้ชิมเบียร์สดที่ไม่มีจำหน่าย เพราะสดจริงๆ จากถังหมัก

แต่ชิงเต่าไม่ได้มีดีแค่นี้ ด้วยความที่เคยเป็นเขตเช่าของเยอรมนี จึงมีการวางผังเมืองแบบยุโรป มีต้นไม้และสวนสาธารณะร่มรื่น อาคารบ้านเรือนก็ได้อิทธิพลจากเยอรมัน อย่างการใช้กระเบื้องมุงหลังคาสีแดง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เมื่อเราขึ้นไปยังจุดชมวิวที่เขาปลาเล็ก ซึ่งเป็นเนินเขาไม่สูงมาก ทำเป็นจุดชมวิว มองลงมาเห็นบ้านเรือนในส่วนเมืองเก่าที่ดูเป็นเมืองในยุโรปมากกว่า อีกด้านหนึ่งเป็นหาดทรายขาวยาวโค้ง ชิงเต่ามีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองตากอากาศ ที่นี่เคยเป็นสถานที่แข่งกีฬาทางน้ำในช่วงที่จีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2008 มีท่าเรือยอชต์ที่ทันสมัย เป็นจุดหย่อนใจที่มาสูดอากาศบริสุทธิ์ได้โดยไม่รู้สึกว่านี่คือประเทศจีน เพราะดูเป็นท่าเรือยอชต์สุดหรูในยุโรปมากกว่า

ก่อนจะจากลาเมืองชิงเต่าเราได้แวะไปชม Huayan Temple วัดพุทธวัดเดียวที่อยู่ที่ภูเขาเหล่าชาน (Laoshan) ซึ่งเป็นภูเขาที่กำเนิดของลัทธิเต๋า ดังนั้นการมีวัดพุทธเพียงหนึ่งวัดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และเป็นพุทธแบบมหายาน เขาเหล่าชานเป็นเขาริมทะเลที่สูงที่สุดของจีน เพราะติดกันคือทะเลเหลือง ภูเขาแห่งนี้มีจุดชมวิวที่ยกย่องกันว่าสวยงาม 12 จุดที่ลือชื่อ ใครมาเที่ยวชิงเต่าสามารถมาเที่ยวชมธรรมชาติที่นี่ได้

วัดพุทธแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามอย่างซุ้มประตูที่ทำเป็นรูปพระโพธิสัตว์และดอกบัวที่งดงาม มีรูปเจ้าแม่กวนอิมขนาดสูงใหญ่ยืนหันหน้าออกไปทางทะเล ทางเดินไปสู่ตัววัดมีการจัดภูมิทัศน์ที่สวยงาม นอกจากประติมากรรมต่างๆ ที่แกะจากหินก็มีก้อนหินธรรมชาติที่สลักโคลงกลอนบทกวีต่างๆ ไว้อย่างงดงามกลมกลืนกับสภาพธรรมชาติโดยรอบ อย่างหินก้อนหนึ่งที่ฮ่องเต้หย่งเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิงเสด็จมาที่นี่ ตรงหินก้อนนี้พระองค์มองไปเห็นแต่ท้องฟ้ากับผืนน้ำที่เป็นสีเดียวกันคือสีฟ้าสด พระองค์จึงให้จารึกคำว่า กวนหลาน ที่แปลว่า มองสีฟ้า ซึ่งหมายถึงรอบตัวนั้นมีแต่สีฟ้า แต่ปัจจุบันจุดนี้มีต้นไม้เขียวครึ้มบังวิวทะเลไปหมด ถ้าไม่รู้ที่มาอาจนึกว่าประโยคนี้ให้แหงนมองท้องฟ้าก็เป็นได้

ประเทศจีนมีความยิ่งใหญ่ทั้งพื้นที่และวัฒนธรรม ถ้าเราได้รู้ถึงที่มาของสิ่งต่างๆ แม้แต่ถ้อยความที่จารึกบนก้อนหิน เราจะดื่มด่ำกับความลึกล้ำและความเป็นนักคิดของบรรพชนชาวจีน และนั่นจะทำให้การท่องเที่ยวในประเทศจีนมีความลึกซึ้งดื่มด่ำมากขึ้น