ชนานันทน์ สุนทรนนท์ | Features Editor | 13 June 2018
นึกถึงตั้ม-วิศุทธิ์ นึกถึงญี่ปุ่น
ในห้องรับแขกที่มี “ซูชิ” แมวตัวกลมของบ้านนั่งเล่นเดินเล่นราวกับไม่มีใครอยู่ในห้อง เจ้าของบ้านยกน้ำเปล่ามาเสิร์ฟเรา
“คิดอย่างไรเวลามีคนบอกว่านึกถึงตั้ม-วิศุทธิ์แล้วนึกถึงญี่ปุ่นเหรอ ไม่เคยคิดเลยนะ เขาจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่เขา อาจมีคนมองหลายมุม คิดได้หลายแบบ ก็คิดว่าดีนะ แต่ถ้าเราคิดถึงตัวเองก็คิดถึงเมืองไทย ส่วนคนที่คิดถึงเราแล้วคิดถึงญี่ปุ่นก็คงเป็นเพราะเราทำงานที่ญี่ปุ่นเยอะ ทำทุกวัน และทำต่อเนื่องมานาน งานก็จะมีภาษาญี่ปุ่นโผล่ขึ้นมาบ่อยๆ บางทีก็มีงานที่ร่วมกับคนญี่ปุ่นทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเมืองไทยเลย อยู่ๆ คนญี่ปุ่นก็เอารูปมะม่วงไปทำสินค้า แล้วเอามาโชว์ในอินเทอร์เน็ต คนไทยก็ไปเห็นว่างานเราไปอยู่ที่ญี่ปุ่นบ่อยๆ”
เรื่องเล่าญี่ปุ่นในแบบของคุณ
“ตั้งแต่ปี 2003 (พ.ศ. 2546) เราเอาตัวไปไว้ที่ญี่ปุ่น เรียนภาษาญี่ปุ่น จะได้มีวีซ่า ฝึกเขียนงานของตัวเองเรื่อยๆ ก็เริ่มวาดมะม่วง ได้งานกระจุกกระจิกมาเรื่อยๆ และมีงานสเกลใหญ่ขึ้นตามมา มีพวกหนังสือที่ลงประจำ บางเล่มมีงานเราลงเป็นสิบปีแล้วก็ยังลงอยู่ นับไปนับมานี่ผ่านมาตั้งสิบห้าปีแล้วนะ บางที่ก็ลงหนึ่งหน้า เป็นการ์ตูนมะม่วง 4 ช่อง บางที่เป็นเว็บไซต์ แล้วก็มีที่จ้างให้ทำแอนิเมชันมะม่วงซึ่งลงมาแล้ว 100 ตอน บางครั้งจะไปอยู่ในนิตยสารแฟชั่น หรือนิตยสารไลฟ์สไตล์แบบผู้ใหญ่อ่าน สิ่งที่เราเห็นคือ ญี่ปุ่นเขาชอบทำอะไรนานๆ ไม่ค่อยเลิก เพื่อให้สิ่งหนึ่งอยู่ในคัลเจอร์ในยุคสมัยของเขา ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ สมมติว่าคนนี้อ่านมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย ตอนนี้ทำงานแล้วเขาก็ยังอ่านเรื่องที่เคยอ่าน ยังเห็นมันอยู่ รู้สึกว่าการ์ตูนเราอยู่ในชีวิตเขา หรือบางคนอ่านงานเรามาตั้งแต่อยู่ ม.ปลาย ตอนอายุสิบห้า จนตอนนี้อายุยี่สิบห้า ทำงานแล้ว เขาก็มาพูดกับเราว่าฉันอ่านมาตั้งแต่ ม.ปลาย เลยนะ ซึ่งจริงๆ ที่ไทยก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อย่างหนังสือ a day ที่เคยลงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้ก็ยังลงอยู่จนร่วมยี่สิบปีแล้ว ได้ลองทำหลายอย่างมาเรื่อยๆ อยู่ที่นั่นราวๆ สามปีครึ่ง ก่อนกลับมาปี 2007 (พ.ศ. 2546) มาอยู่เมืองไทย มีต้นไม้ มีอากาศที่อุ่น ร้อน ซึ่งเราก็ชอบมาก แล้วก็ทำงานส่งญี่ปุ่นคู่กับการทำงานในเมืองไทย”
สิ่งที่ชอบเวลาไปญี่ปุ่น
“เราชอบอากาศ คืออากาศดี แล้วก็สามารถเดินได้ ใครอยากเดินสองกิโลก็เดิน อย่างไปกินข้าวแล้วรู้สึกอิ่มจังเลย เดินกลับบ้านดีกว่า ก็ทำได้ เพราะพออากาศดีก็จะเอนจอย อย่างที่ที่เคยอยู่สมัยก่อนจะเป็นเขตเล็กๆ ในโกเบอย่างซันโนะมิยะ (Sannomiya) ขี่จักรยานเล่นรอบได้เลย ไม่ต้องขึ้นแท็กซี่หรือนั่งรถไฟ ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่าคนโกเบไม่ต้องไปนอกจังหวัดก็ได้ เขามีทุกอย่าง ทะเลก็มี ภูเขาก็มี สถานที่ท่องเที่ยวก็มี อาหารก็อร่อย แล้วจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก”
มุมโปรดของคุณในโกเบคือ…
“ในโกเบเองมีทั้งภูเขากับทะเล บ้านที่เคยไปอยู่เป็นโซนที่เป็นภูเขา เรียกว่า Hunter Zaka คำว่า Hunter คือนักล่า Zaka แปลว่าเนิน ในเวลาเดียวกันโกเบเป็นที่ที่มีฝรั่งอยู่เยอะเพราะมีท่าเรือ ซึ่งพอขึ้นภูเขาไปจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีฝรั่งสมัยก่อนมาสร้าง มีอาคารโบราณ ฝรั่งๆ หน่อย แล้วก็มีร้านขนมปัง ร้านชูครีม ร้านช็อกโกแลต เดินขึ้นภูเขาไปจะเป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่คนทำงานมาเที่ยว แต่เป็นคนจังหวัดอื่นมาเที่ยวกัน แล้วพอขึ้นเขาไปอีกก็จะเจอดอกไม้ มีกระเช้าลอยฟ้าซึ่งเล็กๆ เองนะ แต่ก็พอดี ไม่ควรเยอะไปกว่านั้น เราชอบโกเบนะ แต่ไม่ได้ไปนานแล้ว”
ตอนอยู่โกเบ ไปโอซากาบ่อยแค่ไหน
“จากโกเบไปโอซากาสามารถนั่งรถไฟไปได้โดยใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ก็จะไปโอซากาด้วย เพราะเป็นเมืองใหญ่ เป็นที่ที่มีแกลเลอรีใหญ่ๆ อยู่เยอะ และคอนเนกต์กับโตเกียวได้ เมื่อเทียบกับโกเบที่มีแต่คาเฟ่เก๋ๆ และเป็นเหมือนบ้านนอกหน่อย โอซากาก็จะอินเตอร์เนชั่นแนลมากขึ้น แต่ตอนหลังไปโตเกียวบ่อยสุดด้วยเรื่องงาน”
ตั้ม มะม่วง และการร่วมงานกับหลากหลายแบรนด์ในญี่ปุ่น
“แต่ก่อนเราชอบวาดการ์ตูนที่มีเนื้อเรื่อง ชื่อเรื่อง ‘ฮีชีอิท’ เป็นเรื่องที่คิดว่าสนุกที่สุดแล้วที่เราจะทำได้ ก็ลองวาดตัวอะไรอื่นๆ วาดหลายตัวเลย มะม่วงก็เป็นตัวหนึ่งที่วาดออกมา และดูไร้อารมณ์ที่สุด คือมะม่วงเป็นการ์ตูนที่หน้าเฉยๆ ยืนเฉยๆ ปรากฏว่าพอยืนเฉยๆ นี่กลายเป็นสินค้าได้ดี เข้ากับเสื้อผ้าได้ง่าย เพราะมันไม่มีความรู้สึก ตอนแรกๆ ก็ทำอะไรอย่างนี้ ก็ขายได้ตามเอ็กซิบิชันที่ญี่ปุ่น แล้วมะม่วงเป็นตัวการ์ตูนที่ขายดีอยู่ตัวเดียวทั้งๆ ที่ไม่ต้องมานั่งเล่าให้ใครฟังว่ามะม่วงเป็นคนยังไง คิดยังไง มีสตอรี่ยังไง ทีนี้พอคนเริ่มเห็น ก็เริ่มมีการขอยืมรูป ทำสินค้าให้เขาบ้าง มีมาเรื่อยๆ คือถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ร้านใหญ่ๆ คนที่นั่นมาชวนทำด้วยตัวเอง อาจเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่มีความเป็นศิลปะ แฟชั่น เวลาเอาไปใช้เขาก็ชอบมันจริงๆ ซึ่งไม่มีแบรนด์เสื้อผ้าที่สนใจเอารูปเราไป collaborate แบบนี้ในเมืองไทย โดยเฉพาะช่วงที่เรากลับมาเมื่อสิบปีที่แล้ว ถ้าเทียบกับตอนนี้คนก็ได้เอนจอยมะม่วงในหลายรูปแบบมากขึ้น คนที่รู้จักมะม่วงก็กว้างขึ้น คนแบบไหนก็ได้ที่เข้าถึง ไม่จำกัดแค่กลุ่มคนแฟชั่นหรือศิลปะอย่างเดียว”
นิทรรศการศิลปะของคุณในญี่ปุ่น
“นิทรรศการเราทำมาหลายอย่าง อย่างตอนอาศัยอยู่ที่นู่นก็ไปจัดที่โอซากา เพราะเราอยู่แถวนั้น มีงานที่ทำเป็นรูปแบบเขาวงกตให้คนเข้าไปเดินแล้วไปเจอรูปเรา หรือมีอยู่ปีหนึ่งได้ร่วมงาน Yokohama Triennale เป็นงานศิลปะสากลที่โยโกฮามา และอีกหลายที่หลายครั้ง มีทั้งตอนที่ทำงานสนุกๆ มันๆ เพราะได้ทำงานกับคนญี่ปุ่นที่บ้าพลัง อย่างตอนทำเขาวงกตก็มีแต่คนบ้าๆ ไอเดียสนุกๆ มาช่วยกันทำ แต่หลังๆ เราอยู่เมืองไทย มีงานที่ต้องทำมากขึ้น งานของเราก็ไปในที่ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ก็ส่งภาพไปให้เขาแขวนแทน มีอยู่งานหนึ่งเป็นหนึ่งในงานเล็กๆ ที่ชวนเราไปจัดเป็นประจำทุกปี และจัดมาต่อเนื่องห้าปีแล้ว ที่ A/D Gallery ในรปปงงิฮิลส์ เป็นรูปแบบแกลเลอรีเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ร้าน เป็นงานที่ไม่ได้ใหญ่โต คนสามารถซื้อรูปเล็กๆ ไปฝากกันได้ มีช่วงเดือนตุลาคมที่โตเกียว”
ชอบไปที่ไหนเวลาที่ไปโตเกียว
“ที่ที่ชอบไปเหรอ ส่วนใหญ่ไปอยู่บ้านเพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่น เพราะไปอยู่โรงแรมเขาก็คิดตังค์ (หัวเราะ) เป็นเพื่อนที่มีน้ำใจตลอดมาตั้งแต่เราอายุสามสิบ ตอนนี้ก็สิบปีกว่าแล้ว ไม่ว่าจะมีตังค์หรือไม่มีตังค์เขาก็ให้พักอยู่ดี ถามว่าซี้ไหม ไม่เห็นต้องซี้กันเลย เขามีน้ำใจ ไม่ต้องซี้มากเขาก็ให้ไปนอน (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ไปโตเกียวคือไปทำงานและจะยุ่ง ก็จะอยู่แถวนั้นแหละ คืออาโอยามะ (Aoyama) คือฮาราจุกุ (Harajuku) แต่จะเป็นเส้นทางที่เงียบๆ นิดหนึ่ง คือไม่มีคนเดินเลย หรือสิบนาทีจะมีคนหนึ่งเดินผ่าน ที่ที่ชอบไปจะเป็นแถวนั้น เรียกว่าโอโมเตะซันโด (Omotesando) คนที่เดินจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เด็กมาก แต่งตัวดีๆ หน่อย แต่ไม่ถึงกับแข็งจนเกินไป เป็นที่ที่ไม่วุ่นวายถ้าเลี้ยวซ้าย หรืออยากวุ่นวายก็แค่เลี้ยวขวาไปฮาราจุกุ แต่ส่วนใหญ่เราไปในโซนเลี้ยวซ้าย แล้วถ้าไม่รู้จะไปไหนก็จะไปกินข้าวที่ร้านแพนเค้ก ร้านโซบะ จะมีร้านหนึ่งที่ไปแทบทุกวันเลย เพราะเปิดถึงเที่ยงคืน ชื่อ Ryori Club เขาทำได้ทุกอย่าง เป็นร้านอาหาร ที่ชอบเพราะว่ามันเงียบ อร่อย แล้วก็รู้จักกันแล้ว เป็นที่ที่เราคุ้นเคย อย่างเราทำงานดึก เลิกสามทุ่มอย่างนี้ ก็ทำให้อยากไปในที่ที่ไม่วุ่นวาย แบบที่นัดเพื่อนคุยกันได้เรื่อยๆ คือไปแต่ละทีเพื่อนอยากเจอ ก็นัดกันทุกวัน”
นอกจากไปญี่ปุ่น เมืองแบบไหนที่ทำให้อยากออกเดินทาง
“เมืองที่อยากไปหน่อย เมืองไหนดี (ทำท่าคิด) อาจจะบาร์เซโลนาในสเปนก็ได้ อิตาลีก็ได้ แต่ถ้าไปจริงๆ ต้องเป็นเมืองที่ไม่ยุ่งยากในการขอวีซ่า เพราะบางทีเราอยากจะไปเลยพรุ่งนี้ ไม่ต้องมานั่งวางแผนขอวีซ่านานๆ อย่างล่าสุดได้รู้ว่าตุรกีไม่ต้องขอวีซ่า ก็ปรึกษากับแฟน เฮ้ย ไปตุรกีเถอะ อีกสองวันไปเลย วันนี้อยากไป พรุ่งนี้ซื้อตั๋ว มะรืนไป เป็นช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ส่วนสิ่งที่ชอบที่สุดในตุรกีนอกจากไม่ต้องขอวีซ่าคือ ไปเห็นความหลากหลาย จากที่เราไปญี่ปุ่น เห็นคนหน้าเกลี้ยงๆ บ่อยแล้ว ไปเจอผู้คนหน้าแขกๆ ก็ดีนะ อยากกินอะไรที่มีเครื่องเทศบ้าง เพลงดิสโก้ตุรกีเขาก็ตลก แล้วคนที่นั่นไม่ดุร้าย คิดว่าคงเป็นอะไรที่เหมาะกับเราในตอนนั้น ถ้าจะไปที่ไหนอีกสักแห่งต้องเป็นสถานที่ที่ไม่ใช่ไปเจอแต่ทัวร์ ไม่ลึกลับมาก ไม่มีวิ่งราวกระเป๋า ไปที่ป๊อปๆ นี่แหละ แต่ก็หลีกมันหน่อย ไปดูตึก ดูบอล ดูไวน์อะไรก็ว่ากันไป ไปภูเขาก็ไม่ได้ มันไม่มีห้องน้ำ เดี๋ยวแฟนบ่น (หัวเราะ)”