×

สักครั้งในชีวิตกับประสบการณ์นั่งรถไฟขบวนพิเศษเที่ยวญี่ปุ่น

Traveller's Companion | Traveller's Companion | 06 September 2019



“ญี่ปุ่น” ถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งรถไฟที่นักเดินทางทั่วโลกต่างก็ตั้งมั่นว่าครั้งหนึ่งในชีวิตควรที่จะได้นั่งรถไฟญี่ปุ่นให้ได้สักครั้ง แต่นอกจากรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นแล้ว ญี่ปุ่นยังมีรถไฟขบวนพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์สุดว้าวให้คนรักการเดินทางด้วยรถไฟ โดยเฉพาะใน ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ที่เชื่อมต่อกับกรุงโตเกียวด้วยรถไฟความเร็วสูงนั้น มีการจัดขบวนรถไฟพิเศษมุ่งตรงสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในทุกจังหวัด



เพื่อนเดินทางได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณอะกิโอะ โคโบริ (Akio Kobori) กรรมการบริหารฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ East Japan Railway Company ถึงเรื่องราวของรถไฟขบวนพิเศษประจำภูมิภาคโทโฮคุที่เรียกว่า “Joyful Trains” ซึ่งไม่ได้มีเพียงความสนุกสนานระหว่างการเดินทาง ทว่าทุกขบวนยังอัดแน่นด้วยเรื่องราวของท้องถิ่นนั้นๆ

บางขบวนได้รื้อฟื้นตำนานหัวรถจักรไอน้ำสุดคลาสสิคให้กลับมาวิ่งอีกครั้ง บางขบวนได้ส่งเสริมงานศิลปะท้องถิ่นผ่านการสร้างแกลเลอรีอาร์ตขึ้นในรถไฟจนกลายเป็นแกลเลอรีอาร์ตที่มีความเร็วที่สุดในโลก หรืออย่างรถไฟโปเกมอนสีเหลืองสดใส ก็สร้างขึ้นเพื่อเรียกรอยยิ้มของเด็กๆ ให้กลับมาอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ซัดถล่มเมือง





สำหรับใครที่เพิ่งรู้จักกับ Joyful Trains เป็นครั้งแรก คุณอะกิโอะมีเช็คลิสต์รถไฟ Joyful Trains ใช้เพียงบัตร JR EAST PASS (Tohoku Area) ใบเดียวก็ทำให้ประสบการณ์การเดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ตื่นตาและเต็มหัวใจกว่าที่เคย

 

รถไฟแห่งฤดูใบไม้ร่วง Resort Minori



หุบเขานารุโกะ (Naruko-Kyo) คือสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ แต่จะสวยยิ่งกว่าหากได้นั่งรถไฟผ่านไปใต้ผืนป่าที่เป็นสีเหลืองแดงสวยราวภาพวาด แน่นอนว่า Joyful Trains ได้เปิดรถไฟสาย “Resort Minori” ให้บริการจากสถานีเซ็นได (Sendai) ตรงมายังสถานีชินโจ (Shinjo) ตัดผ่านอุโมงค์ที่ทะลุมายังใจกลางผืนป่าที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีอย่างพอดิบพอดี



อันที่จริงรถไฟสายนี้เปิดให้บริการตลอดปี ทว่าช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีนั้น ทุกที่นั่งจะถูกจับจองอย่างรวดเร็ว ความพิเศษคือขบวนรถไฟจะจอดที่สถานีนารุโกะออนเซ็นเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินไปยังหุบเขานารุโกะซึ่งถูกย้อมด้วยสีเหลืองแดงทั้งหุบเขา สมกับชื่อรถไฟ “Minori” ที่แปลได้ว่า “การผลิดอกออกผล” นั่นเอง
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีเซ็นได (Sendai) และสถานีชินโจ (Shinjo)

 

รถไฟสายดวงดาว High Rail 1375

ตามปกติแล้วรถไฟสายท่องเที่ยวจะออกเดินทางเที่ยวแรกแต่เช้าตรู่ และกลับเข้ามาสถานีในช่วงบ่าย แต่สำหรับรถไฟ      High Rail 1375 นั้นเพิ่มความพิเศษตรงที่การจัดขบวนรถไฟให้ออกสตาร์ทตอน 18.20 น. เพื่อที่จะพาผู้โดยสารไปชมท้องฟ้าและดวงดาว ณ สถานีโนเบยามะ (Nobeyama) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และตัวเลข 1375 ก็เป็นตัวเลขบอกความสูงจากระดับน้ำทะเลของสถานีรถไฟแห่งนี้



แต่ก่อนที่รถไฟจะจอดให้ผู้โดยสารได้เดินตามไกด์ท้องถิ่นไปชมทะเลดาว ณ จุดที่ว่ากันว่าสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้โปร่งและเต็มตาที่สุด (ให้เวลาชม 1 ชั่วโมง) ในขบวนรถยังมีกิมมิคด้วยการใส่ท้องฟ้าจำลองขนาดย่อมลงไป ทั้งยังมีห้องสมุดดาราศาสตร์เล็กๆ ที่มีตำราดาราศาสตร์ให้ได้เลือกอ่าน คนที่หลงใหลในเส้นทางของดวงดาวห้ามพลาด
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีโคบุจิซาวะ (Kobuchizawa) และสถานีโคโมโระ (Komoro)

 

รถไฟธีมคาเฟ่ Fruitea Fukushima



แอปเปิ้ล พีช สาลี่ และองุ่น คือของดีประจำจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ที่สร้างแรงดึงดูดด้านการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และนั่นจึงเป็นที่มาของรถไฟสไตล์คาเฟ่ Fruitea Fukushima ที่นำเอาคำว่า Fruit และ Tea มารวมกัน  พร้อมการดึงบรรยากาศคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ มาไว้ในขบวนรถไฟ



นอกจากวิวทิวทิศน์ระหว่างทางและแหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์อย่างทะเลสาบอินาวาชิโระ (Inawashiro) แล้ว ขนมเค้ก ฟรุตทาร์ตที่ทำจากผลไม้ที่ปลูกในจังหวัดฟุกุชิมะ คือไฮไลต์ของขบวนที่ห้ามพลาด โดยตั๋วรถไฟขบวนนี้จะขายพร้อมกับเซ็ตเครื่องดื่มและขนมหวาน ผู้โดยสารมารถสั่งมากินได้ที่เก้าอี้นั่ง หรือเดินไปนั่งในคาเฟ่ที่จัดเตรียมไว้ก็ยิ่งได้บรรยากาศความสุขเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีโคริยามะ (Koriyama) และสถานีไอสุวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu)

 

รถจักรไอน้ำสายทางช้างเผือก SL Ginga

หัวรถจักรไอน้ำถือได้ว่าเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมรถไฟในญี่ปุ่น และ JR East ก็ทำให้หน้าประวัติศาสตร์นั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยขบวนรถไฟหัวรถจักรไอน้ำ SL Ginga ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขบวนรถไฟในวรรณกรรมชื่อดังของญี่ปุ่นเรื่อง “รถไฟสายทางช้างเผือก” บทประพันธ์อมตะของมิยาซาวะ เคนจิ (Kenji Miyazawa)





ความพิเศษคือในขบวนมีการตกแต่งด้วยบรรยากาศย้อนยุค ไม่ว่าจะเป็นเบาะที่นั่งสีแดงคลาสสิค ตะเกียงวินเทจ กระจกสเตนกลาส เป็นต้น และด้วยแรงบันดาลใจจากรถไฟสายทางช้างเผือก ในขบวนจึงมีท้องฟ้าจำลองให้ได้ชมทางช้างเผือกกันอีกด้วย
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีฮานะมากิ (Hanamaki) และสถานีคามาอิชิ (Kamaishi)

 

รถไฟสายออนเซ็น Toreiyu Tsubasa

การเที่ยวแบบผ่อนคลายในบรรยากาศของบ่อน้ำแร่แช่ออนเซ็นคืออีกไฮไลต์ของโทโฮคุที่จะพลาดไม่ได้ และที่จะพลาดไม่ได้ยิ่งกว่าคือการนั่งรถไฟสาย Toreiyu Tsubasa ที่มีบ่อน้ำแร่สปาเท้าให้ได้แช่เท้าผ่อนคลาย ความพิเศษคือการนำน้ำแร่จากจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) มาใช้



บ่อน้ำร้อนสำหรับทำสปาเท้าตั้งอยู่ในตู้รถไฟหมายเลข 16 มีจำนวน 2 บ่อ รองรับได้ครั้งละ 14 คน ทุกที่นั่งหันหน้าออกสู่วิวธรรมชาติด้านนอก พิเศษยิ่งกว่ากับการนำเสื่อทาทามิแบบดั้งเดิมมาตกแต่งในขบวนรถไฟ ให้บรรยากาศเหมือนกำลังเช็คอินในที่พักแบบเรียวกังที่มีบ่อน้ำร้อนให้ได้แช่ออนเซ็นอย่างไรอย่างนั้น
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีฟุกุชิมะ (Fukushima) และ สถานีชินโจ (Shinjo)


รถไฟไฟน์ไดน์นิ่ง Tohoku Emotion

นั่งรถไฟขบวนหรูไปพร้อมกับความอร่อยของมื้ออาหารแบบไฟน์ไดน์นิ่ง พร้อมเลาะเลียบชมวิวสีฟ้าครามของชายฝั่งทะเลคุจิ (Kuji) ทั้งหมดที่กล่าวมาคือคอนเซ็ปต์ของขบวนรถไฟ Tohoku Emotion ที่ผสมผสานระหว่างรถไฟและภัตตาคารหรู เน้นไปที่ความสดของวัตถุดิบจากท้องทะเล และวัตถุดิบท้องถิ่นจากจังหวัดต่างๆ ในโทโฮคุ



ใครที่ซื้อตั๋วแบบไปกลับจะได้ลิ้มรสครบทั้งเมนูอาหารกลางวัน 4 คอร์ส พร้อมเครื่องดื่มฟรีโฟลว์ตลอดการเดินทาง ส่วนเที่ยวกลับจะเป็นบุฟเฟต์พขนมหวาน พิเศษกับการยก Live Kitchen Space มาใส่ไว้ในขบวนรถไฟ สามารถเห็นขั้นตอนการทำอาหารที่สดใหม่ได้อย่างใกล้ชิด ส่วนใครที่จองตั๋วมาเป็นก๊วนเล็กๆ ก็ยังมีห้องอาหารส่วนตัวให้ได้เลือกอีกด้วย
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีฮาจิโนเฮะ (Hachinohe) และ สถานีคุจิ (Kuji)

 

รถไฟเรียบชายฝั่งทะเล Resort Shirakami

โทโฮคุนั้นขึ้นชื่อว่ามีวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติติดอันดับต้นๆ ในญี่ปุ่น ครบถ้วนทั้งทะเลและภูเขา และสำหรับใครที่ต้องการชมวิวภูเขาพลัสท้องทะเลให้เต็มอิ่ม แนะนำให้รู้จักรถไฟสาย Resort Shirakami ที่ติดกระจกบานใหญ่สำหรับชมวิวด้านนอกแบบเต็มอิ่มมากยิ่งขึ้นโดยมีเทือกเขาชิราคามิซันจิ (Shirakami-Sanchi) เป็นไฮไลต์ของเส้นทาง





ด้วยความที่ต้องการให้ผู้ร่วมเดินทางได้ชมวิวอย่างเต็มตา รถไฟขบวนนี้จึงเดินเครื่องอย่างเนิบช้าเป็นเวลาร่วม 5 ชั่วโมง ทว่าก็ไม่น่าเบื่อแต่อย่างไร เพราะตลอดทางมีการแสดงพื้นบ้านอย่างหุ่นกระบอก ชามิเซ็น การเล่านิทาน ให้ได้ชม พร้อมด้วยเบนโตะหรือข้าวกล่องประจำขบวนรถไฟที่ปรุงขึ้นเฉพาะรถไฟสาย Resort Shirakami เท่านั้น
สถานีที่ให้บริการ: ระหว่างสถานีอาโอโมริ (Aomori) และ สถานีอาคิตะ (Akita)

 

Travel Tips

  • ภูมิภาค “โทโฮคุ” ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู แบ่งออกเป็น 6 จังหวัดคือ อาโอโมริ (Aomori)อิวาเตะ (Iwate)มิยากิ (Miyagi)อาคิตะ (Akita)  ยามากาตะ (Yamagata)และ ฟูกูชิมะ (Fukushima)
  • บัตรรถไฟ JR EAST PASS (Tohoku Area) เป็นบัตรโดยสารที่สามารถใช้นั่งรถไฟจากสถานีโตเกียว ไปยังภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งบัตรสุดคุ้มนี้ นอกจากจะครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 6 จังหวัดแล้ว ยังสามารถใช้กับที่นั่งบนขบวนรถไฟพิเศษJoyful Trains ได้อีกด้วยโดยบัตรจะมีอายุการใช้งาน 14 วันสามารถใช้เดินทางได้ 5 วันโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางติดต่อกัน
  • สามารถเข้าไปซื้อJR EAST PASS (Tohoku Area)ได้ที่เว็บไซต์ https://www.jreast.co.jp/e/eastpass_t/index.html และสามารถจองที่นั่งล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ได้ฟรีที่JR-EAST Train Reservation : https://www.eki-net.com/pc/jreast-shinkansen-reservation/English/wb/common/Menu/Menu.aspx
  • เมื่อบินตรงลงที่กรุงโตเกียว สามารถเริ่มใช้บัตร JR EAST PASS (Tohoku Area)ได้ทันที โดยนั่งรถไฟความเร็วสูง โทโฮคุชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) จากโตเกียวไปยังเขตโทโฮคุ และสามารถท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายด้วยบัตรรถไฟ JR EAST PASS (Tohoku Area) ใบเดียวเท่านั้น
  • หมดกังวลกับจุดท่องเที่ยวธรรมชาติที่รถไฟวิ่งไปไม่ถึง เพราะแค่มีบัตร JR EAST PASS (Tohoku Area)ก็สามารถใช้บริการรถบัส JR Bus Tohoku ได้ฟรีทุกเส้นทาง
  • ราคาบัตร JR East Pass สำหรับภูมิภาคโทโฮคุนั้นถ้าซื้อนอกประเทศญี่ปุ่นราคาตั๋วผู้ใหญ่อยู่ที่ 19,000 เยน เด็ก 9,500 เยน ถ้าซื้อในประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ ราคา 20,000 เยน เด็ก ราคา 10,000 เยน
  • ค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคโทโฮคุเพิ่มเติมได้ที่ https://eastjapanrailway.com/th/2019-summer