วรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ | Writer | 11 January 2020
ผมเชื่อว่าการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นสำหรับหลาย ๆ ท่านในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องที่สะดวกและง่ายขึ้นโดยเฉพาะเมืองใหญ่ ๆ ในญี่ปุ่น เช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต หรือ ฮอกไกโด ทั้งเรื่องของภาษาที่มีภาษาอังกฤษหรือแม้กระทั่งภาษาไทยในสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์กต่าง ๆ
แต่กระนั้นก็ยังมีนักเดินทางอีกกลุ่มที่เริ่มมองหาเมืองอื่นๆ เพื่อหนีความวุ่นวายและแสงสีของตัวเมืองบ้างแล้ว และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบเดินทางแบบชิล ๆ ด้วยการเช่ารถขับเพื่อชมบรรยากาศธรรมชาติของสองข้างถนน บทความนี้น่าจะตอบโจทย์ด้วยการนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวที่เคยโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ถูกพับเก็บไปเนื่องจากอุทกภัยคลื่นสึนามิ โดยเฉพาะเมือง ในแถบตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นในเขต โทโฮคุ (Tohoku) ข่าวดีก็คือการบินไทยได้นำเส้นทางนี้กลับมาให้ทุกท่านได้สัมผัสความสวยงามของญี่ปุ่นในแบบเฉพาะของภูมิภาคโทโฮคุอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่บินตรงจากสุวรรณภูมิถึงสนามบินนานาชาติเซนได และต่อไปนี้คือลิสต์เมืองในภูมิภาคโทโฮคุที่นักเดินทางไม่ควรพลาดกันครับ
เมือง Matsushima
การเดินทางมาเมืองนี้ คุณสามารถเดินทางมาได้ 2 ทาง สำหรับคนที่มาจากสนามบินนานาชาติเซนได จะมีรถบัสมาส่งตรงกลางเมืองมัตสึชิมะได้เลย โดยจอดแวะเพียง 2-3 สถานีก็จะถึงตัวเมืองมัตสึชิมะ หรือหากใครที่แวะเข้าตัวเมืองเซนไดก่อน สามารถใช้รถไฟ JR local มาถึงที่เมืองมัตซึชิมะได้เช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีทั้ง 2 ช่องทาง
เมืองมัตซึชิมะ (แปลว่า เกาะต้นสน) เป็นเมืองริมทะเลเมืองเล็ก ๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติกับเชิงวัฒนธรรมที่โด่งดังในแถบตอนกลางของญี่ปุ่น มีวัดเก่าแก่ติดอันดับของญี่ปุ่น อาหารทะเลที่สดและรสชาติดี โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่เกิดเหตุการณ์สึนามิ
มัตซึชิมะ เป็นเมืองเพียงไม่กี่เมืองในเขตนี้ที่ไม่ได้ผลกระทบจากสึนามิมากนัก เนื่องจากลักษณะหมู่เกาะที่รายล้อมอยู่นอก ชายฝั่ง คล้ายกับกำแพงธรรมชาติป้องกันเมืองไม่ให้ได้รับผลกระทบจากแรงคลื่น แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์สึนามิ เปรียบเสมือนกันการล้างไพ่ของทรัพยากรธรรมชาติริมชายฝั่ง จากที่เคยเสื่อมโทรมเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวปริมาณมาก กลายเป็นว่าสภาพน้ำทะเล พื้นทะเล กลับมาสะอาด สมบูรณ์อีกครั้ง ส่งผลให้สัตว์ทะเลต่าง ๆ ในเขตน่านน้ำเมืองนี้มีรสชาติอร่อยขึ้นมาก
รอบๆ ชายฝั่งในเมืองมีร้านอาหารอยู่นับไม่ถ้วน แน่นอนว่าวัตถุดิบทั้งหมดมาจากการทำประมงท้องถิ่นทั้งนั้นทำให้นักท่องเที่ยวได้กินอาหารทะเลที่มีความสดและอร่อยมาก ๆ อาทิ หอยนางรม หอยเชลล์ ที่สำคัญคือราคาไม่แพงด้วยครับ สั่งมาชิมหลาย ๆ อย่างได้เลย รับรองว่าคุ้มค่า
นอกจากเรื่องของอาหารแล้ว แน่นอนว่าการท่องเที่ยวชมวิว และ สถานที่สำคัญต่าง ๆ ภายในเมืองก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ สามารถนั่งเรือชมบรรยากาศรอบ ๆ เกาะได้โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที แต่ถ้าใครเป็นสายเดินป่า เมืองนี้มีเกาะต้นสนที่อยู่กลางทะเล สามารถเดินข้ามสะพานเพื่อไปชื่นชมความสวยงามและความสมบูรณ์ของป่าสนได้ง่ายมาก และในแต่ละฤดูป่าสนแห่งนี้ก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะป่าสนช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะได้รับความนิยมอย่างมาก และการเปลี่ยนสีของใบไม้ของต้นไม้ในเมืองนี้จะค่อนข้างสามัคคีกัน เปลี่ยนสีพร้อมกันทั้งเมือง
เมือง Hiraizumi
ฮิราอิซึมิ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ใช้เวลาเดินทางจากเมืองมัตซึชิมะ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยวิธีการเดินทางไปเมืองฮิราอิซึมิ ที่สะดวกที่สุดคือการเช่ารถขับมาเรื่อยๆ บนถนนริมชายหาด ความสำคัญของ ฮิราอิซึมิ คือการเป็นที่ตั้งของมรดกโลกถึง 2 แห่ง คือ วัดชูซอนจิ และ วัดโมซึจิ โดยทั้งสองวัดตั้งอยู่ไม่ไกลกัน และทั้งสองวัดก็จัดมีโบราณวัตถุเก่าแก่กว่าพันปี และถูกรักษาให้มีความสมบูรณ์อยู่ได้ดีครับ
วัดชูซอนจิเป็นที่ตั้งของวิหารทองคำ ทั้งนี้เจ้าอาวาสวัดชูซอนจิท่านเดินทางไปหลายประเทศและศึกษาภาษาต่างประเทศอย่างเชี่ยวชาญ และภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในภาษาที่ท่านชอบมาก ที่วัดนี้จึงมีบริการข้อมูลเป็นภาษาไทยให้ได้อ่าน วัดชูซอนจิตั้งอยู่บนเขาซึ่งค่อนข้างมีความชัน หากใครเดินทางพร้อมผู้สูงอายุ แนะนำให้นำรถยนต์ไปจอดบริเวณด้านบนของวัดจะสะดวกกว่าครับ ส่แนะนำให้มาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี รอบ ๆ วัดจะมีความสวยงามมาก ๆ โดยสามารถเดินเล่นบริเวณรอบวัดที่เป็นภูเขา บรรยากาศร่มรื่นมาก ๆ
ส่วนวัดโมซึจิ ซึ่งห่างจากวัดซูซอนจิประมาณ 10 นาที เป็นวัดแนวราบไม่ต้องเดินขึ้นลงเขา บริเวณวัดมีความเรียบง่ายและคงสภาพของวัดญี่ปุ่นดั้งเดิมไว้ ภายในบริเวณวัดจะเงียบสงบและมีบ่อน้ำเป็นศูนย์กลาง ไฮไลต์ของวัดนี้จะขึ้นอยู่กับฤดูกาล เช่น ช่วงใบไม้ผลิ (ประมาณเดือนเมษายน) จะมีการแสดงพิธีจำลองการฉลองฤดูใบไม้ผลิแบบโบราณในช่วงที่ซากุระผลิดอก ส่วนในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถเดินชมพระอาทิตย์ตกกระทบกับสีแดงของใบเมเปิลได้อย่างโรแมนติกมากๆ ครับ
การท่องเที่ยววัดทั้งสองแห่งนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เนื่องจาทั้งสองวัดอยู่ในบริเวณเขา มีป่ารายล้อม อากาศค่อนข้างเย็น แนะนำให้เตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆ ติดมา
นอนในแบบเรียวกังที่ “ชิซึกะเท”
มาถึงญี่ปุ่นทั้งที ใครๆ ก็ต้องอยากจองห้องพักในแบบเรียวกัง ซึ่งมักจะมีจำนวนห้องไม่มาก แต่มีจุดเด่นตรงที่มีออนเซ็นในที่พัก อย่าง เรียวกัง ชิซึกะเท ที่ส่งต่อมาหลายรุ่น เน้นดีไซน์ที่นำความดั้งเดิมมาผสมผสานกันสิ่งอำนวยความสะดวกเล็กน้อย ที่นี่ยังคงมีวัฒนธรรมอาบน้ำแบบออนเซ็นรวม และไม่มีห้องอาบน้ำในห้องพัก ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นกันเลย
อีกความพิเศษของ เรียวกัง ชิซึกะเท คือเจ้าของใช้พื้นที่บริเวณรอบเรียวกังปลูกพืชผักสวนครัว และนำมาทำอาหารให้ลูกค้าที่มาพัก อีกทั้งเส้นโซบะก็ทำเองสดๆ ผักสลัดเก็บสดใหม่พร้อมด้วยน้ำสลัดแบบญี่ปุ่น กินพร้อมกับชุดอาหารแบบชาบู ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู หรือ เนื้อวัว อร่อยมากๆ ถูกใจสายสุขภาพแน่นอน ส่วนใครที่ตื่นเช้า สามารถมาช่วยเจ้าของบ้านลงสวนเลือกผักที่จะนำมาทำเป็นอาหารเช้าได้อีกด้วย
เมือง Iwaizumi
ทางตอนใต้ของจังหวัดอิวาเตะเป็นที่ตั้งของ ถ้ำริวเซนโดะ สถานที่เที่ยวอันโด่งดังของเมืองอิวาอิซึมิ ที่นี่เป็นถ้ำธรรมชาติที่ทางจังหวัดบูรณะให้เป็นไฮไลต์การท่องเที่ยวของเมือง ภายในถ้ำมีความหนาวเย็นตลอดทั้งปี แม้จะเข้าสู่ฤดูร้อนก็ตาม การเดินชมถ้ำใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที
ภายในถ้ำมีธารน้ำอยู่รอบ ๆ โดยน้ำที่ไหลผ่านถ้ำนี้จะมีความใสจนสามารถมองเห็นพื้นถ้ำได้เลย แต่เนื่องจากถ้ำนี้มีทางเดินที่ชันมากๆ ไม่แนะนำสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเข่าหรือไม่ชอบการปีนป่าย อย่างไรก็ตามถ้ำริวเซนโดะเป็นที่หนึ่งสถานที่แนะนำสำหรับคนชอบธรรมชาติ แนะนำให้สวมรองเท้าพื้นยางเพื่อกันลื่น และสวมหมวกขณะที่เดินรอบ ๆ ถ้ำครับเนื่องจากมีความชื้นสูงอาจจะไม่สบายได้
เมือง Miyako
เมืองมิยาโกะ คือ เมืองชายหาดที่มีจุดท่องเที่ยวสำคัญเป็น อ่าวโจโดกาฮามะ ในอดีตเมืองนี้เคยได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิในระดับที่รุนแรงมาก จนทำให้เมืองถูกปิดตายไประยะหนึ่งเพื่อทำการฟื้นฟู โดยเฉพาะการสร้างเขื่อนและแนวป้องกันคลื่นที่แน่นหนาและสูงมากขึ้น
ในส่วนของโรงแรมที่เป็นไฮไลต์จะตั้งอยู่ปลายเขา มีวิวทะเลที่สวยมาก ๆ คือ โรงแรมพาร์ค โจโดกาฮามะ เป็นโรงแรมที่สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เสด็จมาประทับเมื่อครั้งเสด็จเยือนเมืองในแถบโทโฮคุ ตัวโรงแรมผสมผสานงานออกแบบระหว่างตะวันตกและตะวันออก มีอาหารบริการบุฟเฟ่ต์ที่หลากหลายและอร่อยมาก บรรยากาศสงบเหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง แนะนำมาเช็คอินก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อที่จะได้มาชื่นชมบรรยากาศอาทิตย์อัสดงที่โรงแรมแห่งนี้ซึ่งถือเป็นสิ่งห้ามพลาด
จากโรงแรมเราสามารถนั่งเรือออกไปชมธรรมชาติรอบ ๆ ซึ่งมีเรือบริการเป็นรอบ ๆ เริ่มตั้งแต่ช่วง 10 .00 น. ที่ชายหาดเราสามารถให้อาหารนกซึ่งคุ้นชินกับการให้อาหาร ก็สนุกไปอีกแบบครับ ชาวเมืองเล่าให้เราฟังว่าหลังเหตุการณ์สึนามิ ท้องทะเลที่นี่เปรียบเหมือนถูกล้างทุกอย่างใหม่หมด ทำให้ความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพืชพันธุ์ หรือสัตว์ทะเล
สำหรับเรือที่เราใช้บริการพาเที่ยวนั้นเป็นเรือลำเดียวที่รอดจากอุทกภัยคลื่นสึนามิเมื่อหลายปีก่อน ต้องยกความเก่งกาจนี้ให้กัปตันเรือที่สังเกตและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงรอบชายฝั่ง เขาจึงรีบนำเรือออกไปกลางทะเลเพื่อหลีกหนีผลกระทบของสึนามิ ทำให้ยังสามารถให้บริการมาจนถึงทุกวันนี้โดยยังคงเป็นกัปตันคนเดิม
หากใครไม่ลงเรือ สามารถเดินเล่นเรียบชายหาดเพื่อชมบรรยากาศความสมบูรณ์ของธรรมชาติได้อีกโดยชายหาดมีความยาวราว 2-3 กิโลเมตร แค่เดินเรียบชายหาดก็สามารถเห็นหอยเม่น และ หอยนางรม มากมายเกาะอยู่ตามโขดหิน
เมือง Morioka
ท้ายสุดเราเดินทางมาที่เมืองโมริโอกะ โดยถือเป็นเมืองศูนย์กลางของเขตโทโฮคุ เป็นเมืองที่เราสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากเมืองนี้สู่เมืองอื่นๆ ได้ตามต้องการ โรงแรมที่เป็นไฮไลต์ของเมืองนี้คือ โรงแรมชิออง ซึนะงิ ซึ่งตั้งอยู่หน้าทะเลสาบโกโชโกะ สามารถมองเห็นภูเขาไฟ ฟูจิอิวาเตะ ได้อีกด้วย โรงแรมนี้มีรถสาธารณะบริการเพื่อเดินทางท่องเที่ยวรอบ ๆ เมืองโดยจะมีสถานที่ท่องเที่ยวรายล้อมอยู่รอบ ๆ เมืองไม่ว่าจะเป็นวัด ออนเซ็น หรือ ตัวเมือง และสถานีรถไฟ
โดยรวมแล้วเขตโทโฮกุจะเป็นเขตที่เราสามารถวางแผนเที่ยวทางธรรมชาติโดยเริ่มต้นจากเส้นทางที่เปิดใหม่ กรุงเทพ-เซนได โดยการบินไทย ที่จะเริ่มบริการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าพลาดไม่ได้สำหรับคนที่ต้องการมองหาประสบการณ์ใหม่ในการท่องเที่ยวญี่ปุ่น