×

หนีร้อนมาเจอหนาวที่บ้านเกิดโนเบล

ปัญญา ลีลาสุนทรกุล | Features Editor | 25 February 2019

ภาพแรกที่ปรากฏในหัวเวลาพูดถึงสตอกโฮล์มคงหนีไม่พ้นสถานีรถไฟใต้ดินที่เพิ่งถูกเนรมิตด้วยงานศิลปะสมัยใหม่สีสันสวยงามไปหมาดๆ ทว่าความจริงเมืองหลวงของสวีเดนมีอะไรน่าสนใจมากกว่านั้นอีก ยิ่งถ้ารวมเอาอากาศบริสุทธิ์ น้ำใสสะอาด (หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวสวีเดน) และความเย็นฉ่ำในฤดูหนาวเข้าไปด้วยแล้ว ที่นี่ช่างเหมาะจะตีตั๋วมาเยือนเสียเหลือเกิน

และแล้วเราก็หยุดยืนที่ลานกว้างของซิตีฮอลล์ กรุงสตอกโฮล์ม มองออกไปด้านนอกเห็นเมืองเก่าทอดตัวอย่างสงบและถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนราวกับภาพวาดทิวทัศน์สวยๆ ที่เราเห็นตามพิพิธภัณฑ์ทั่วยุโรป แต่ต่างกันตรงที่นี่คือของจริง ส่วนอากาศก็หนาวเย็นจับใจขนาดพื้นทะเลสาบ Mälaren ตรงหน้ากลายเป็นน้ำแข็งหนาพอที่คนในเมืองจะสัญจรด้วยสกีกันอย่างสนุกสนาน

ย้อนกลับไปสิบกว่าชั่วโมงที่แล้วเรายังนอนหลับปุ๋ยในชั้นธุรกิจหรือ Business Class ของสายการบินไทยอยู่หยกๆ เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงแล้ว ที่เร็วขนาดนี้ได้เพราะเป็นไดเร็กต์ไฟลต์หรือเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ-สตอกโฮล์ม โดยไม่ต้องต่อเครื่องให้เสียเวลา แถมยังถึงจุดหมายช่วงเช้าตรู่ซึ่งคนเที่ยวบ่อยจะรู้กันว่าถึงปุ๊บก็เที่ยวปั๊บเลย


นอกจากเรื่องบินตรงและประหยัดเวลาแล้ว ความประทับใจอีกอย่างของสายการบินไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องบริการที่เป็นกันเอง และอาหารไทยแสนอร่อยที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้เดินทางไปไหนไกล แถมยังหลากหลายและเยอะเสียจนอิ่มแปล้กันไปเลย พูดได้ว่านี่เป็นเสน่ห์อีกอย่างของการมาเยือนสตอกโฮล์มก็ว่าได้

ซิตีฮอลล์...สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ
ตัดภาพกลับมาที่ซิตีฮอลล์ (The Stockholm City Hall) กันต่อ นอกจากความเก่าแก่ของอาคารที่สร้างตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 แล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหามากมาย หนึ่งในนั้นคือ “ห้อง Blue Hall” หรือห้องโถงสีฟ้า ซึ่งมีที่มาที่ไปจากกษัตริย์สมัยนั้นต้องการทำหลังคาเปิดโล่งเพื่อให้เห็นท้องฟ้ายามหน้าร้อน แต่สถาปนิกเสนอว่าคงไม่ดีแน่ เพราะเมื่อถึงฤดูหนาวไอเย็นจะเข้ามาทำให้ห้องนี้เย็นยะเยือก สุดท้ายเลยลดเหลือแค่ช่องกระจกอย่างที่เห็น อีกห้องที่พลาดไม่ได้คือ “ห้องทองคำ” หรือ Golden Room นอกจากผนังโมเสกที่ทำจากทองคำมลังเมลืองสวยงามแล้ว ภาพเทพเจ้าขนาดใหญ่สุดห้องโถงยังมีความหมายแฝงว่าสตอกโฮล์มเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงประเทศในซีกตะวันตกและตะวันออกอีกด้วย ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็เห็นจะจริง เพราะที่นี่เป็นสถานที่ประกาศรางวัลโนเบลและจัดเลี้ยงฉลองผู้ได้รับรางวัลเป็นประจำทุกปี ซึ่งมีแขกเหรื่อและคนสำคัญจากทั่วโลกเข้าร่วมงาน จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวจะแห่แหนมาเยือนด้วยตัวเองให้ได้สักครั้ง


ไม่ต่างอะไรกับเรื่องราวของอัลเฟรด โนเบล ชาวสวีเดนที่ได้รับการยอมรับให้เป็นยอดคน เขาไม่เพียงเป็นทายาทนักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 แต่ยังเป็นคนฉลาดล้ำที่สามารถใช้ภาษาได้ 5 ภาษาตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ทั้งยังเป็นวิศวกร นักประดิษฐ์ กวี และมีความสนใจงานวรรณคดีเป็นพิเศษ แม้เขาจะเกิดและเติบโตที่สตอกโฮล์ม แต่ด้วยโชคชะตาทำให้ย้ายถิ่นฐานตามครอบครัวไปอยู่รัสเซียและอเมริกาในที่สุด

แต่สิ่งที่ทำให้อัลเฟรดกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกคือการคิดค้นระเบิดไดนาไมต์ และมีงานประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรมากถึง 355 รายการ ซึ่งทำให้เขามีทรัพย์สินมากมายมหาศาล อย่างไรก็ดีระเบิดของเขาก็ได้สร้างความสูญเสียแก่ตัวเขาเองไม่น้อย ทั้งน้องชาย คนงาน และคนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งรางวัลโนเบลและเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้เป็นทุนตั้งต้นของสถาบันโนเบล และยังคงมีการแจกรางวัลมาถึงปัจจุบัน

โบสถ์ริดดาร์ฮอลเมน...จารึกของประวัติศาสตร์
อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่เปิดเรื่องว่าชัยภูมิของสตอกโฮล์มเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่เชื่อมโยงด้วยระบบขนส่งสาธารณะและถนนหนทางกันไปมา พอเที่ยวชมซิตีฮอลล์เสร็จแล้วสามารถนั่งรถไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อได้เลย ตอนนี้เราข้ามมาเยือนโบสถ์ริดดาร์ฮอลเมน (The Riddarholmen Church) โบสถ์เก่าแก่ที่มีความสำคัญของราชวงศ์สวีเดนและเมืองหลวงแห่งนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของราชวงศ์ตั้งแต่โบราณกาล และบ่อยครั้งยังมีพิธีอัญเชิญพระราชลัญจกรของกษัตริย์ประเทศต่างๆ ที่สิ้นพระชนม์มาเก็บไว้ในโบสถ์แห่งนี้เพื่อถวายพระเกียรติยศสูงสุด ซึ่งถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2291

เช่นเดียวกับที่สำนักพระราชวังสวีเดนอันเชิญพระราชลัญจกรพิเศษเพื่อถวายพระเกียรติยศสูงสุดแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 จากพระราชวังกรุงสตอกโฮล์มไปยังโบสถ์ริดดาร์ฮอลเมนในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 สถานที่แห่งนี้จึงมีคนไทยมาเยือนทุกปี นอกจากได้เคารพสักการะริดดาร์ฮอลเมนอันเป็นที่รักยิ่งของชาวสวีเดนแล้วยังได้ชมความงามของสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ดั้งเดิมและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสวีเดน สำหรับใครที่อยากมาเยือนต้องมาในเดือนพฤษภาคมและกันยายนที่เปิดให้คนภายนอกเข้ามาเท่านั้น

 

บอกเลยว่าใครมาเที่ยวเมืองนี้ต้องแวะมาให้ได้ เพราะทันทีที่ได้เห็นเรือลำนี้ด้วยสายตาตัวเองคุณจะต้องตะลึงกับความใหญ่โตโอฬารจนหลายคนเปรียบเปรยเป็นเรือไททานิกแห่งสวีเดน

พิพิธภัณฑ์วาซา...ตัวแทนความยิ่งใหญ่
มนตร์เสน่ห์ของสตอกโฮล์มยังไม่หมดแค่นั้น เราเดินทางด้วยรถรางมายังอีกเกาะเพื่อเยือนพิพิธภัณฑ์วาซา (Vasa Museum) สถานที่เก็บเรือรบวาซาลำใหญ่โตที่มีน้ำหนักถึง 1,300 ตัน ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แต่ยังแล่นไปไม่ถึงไหนก็จมลงเสียก่อน เนื่องจากเรือต้องแบกรับน้ำหนักปืนใหญ่มากเกินไป

จนกระทั่ง ค.ศ. 1951 Anders Franzén นักวิจัยเอกชนออกตามหาเรือลำนี้ตามเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์และเจอเรือจมแน่นิ่งอยู่ในทะเล จากนั้นเขาทำงานร่วมกับรัฐบาลและทหารเรือเพื่อสำรวจและวางแผนยกเรือขึ้นมา ว่ากันว่าต้องใช้เวลา 6 ปีกว่าจะยกเรือขึ้นมาโดยไม่เกิดความเสียหายใดๆ ระหว่างนั้นก็มีการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเก็บรักษาและบอกเล่าเรื่องราวของเรือลำนี้ทุกแง่มุม บอกเลยว่าใครมาเที่ยวเมืองนี้ต้องแวะมาให้ได้ เพราะทันทีที่ได้เห็นเรือลำนี้ด้วยสายตาตัวเองคุณจะต้องตะลึงกับความใหญ่โตโอฬารจนหลายคนเปรียบเปรยเป็นเรือไททานิกแห่งสวีเดน อีกทั้งความเก่าแก่และความสวยงามที่ประเมินค่าไม่ได้ รวมถึงความฉลาดหลักแหลมในการต่อเรือซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างขึ้นมาได้ด้วย

ทุกวันนี้นักวิจัยยังคงทำงานค้นคว้าเพื่อรักษาเรือให้คงอยู่นานเท่านานเท่าที่จะทำได้ ที่พูดแบบนี้เพราะต้องไม่ลืมว่าเรือลำนี้เคยจมอยู่ใต้น้ำที่เย็นจัดเป็นเวลานาน เมื่อขึ้นมาอยู่บนบกจึงมีความเสี่ยงจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้นสภาพอากาศไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็แปรเปลี่ยนจากสภาวะโลก ซึ่งมีผลให้สตอกโฮล์มไม่หนาวยะเยือกเหมือนที่เคยเป็นมา ส่งผลให้การเก็บรักษายากขึ้นไปอีก

พิพิธภัณฑ์แอ็บบา...ซอฟต์คัลเจอร์สะกดโลก
ไม่ไกลกันนัก เราเดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์แอ็บบา หรือ ABBA Museum สถานที่ที่รวบรวมทุกสิ่งอย่างของ ABBA วงดนตรีป๊อปสัญชาติสวีเดนที่โด่งดังกระฉ่อนโลกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนได้รับรางวัลด้านดนตรีการันตีความสำเร็จมากมาย ซึ่งถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นี่พร้อมข้าวของเครื่องใช้และเครื่องดนตรีตั้งแต่ก่อตั้งวง อัดเพลง เลยไปถึงแสดงคอนเสิร์ต โดยจัดวางเป็นสัดส่วนและมีเครื่องไม้เครื่องมือให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับนิทรรศการทั้งหมด จึงทำให้สนุกสนานไปพร้อมๆ กับได้ฟังเพลงสุดฮิตของวงนี้ตลอดเวลาที่อยู่ข้างในนั้น

Mariaberget…จุดชมวิวที่ดีที่สุด
ต่อจากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังโซน Södermalm ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงแห่งนี้ นอกจากเต็มไปด้วยร้านรวงขายของวินเทจและคาเฟ่แล้วที่นี่ยังมีจุดชมวิวที่ดีที่สุดชื่อว่า Mariaberget แต่ต้องขยันซอยเท้ากันหน่อย เพราะอยู่บนเขาซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซิตีฮอลล์ เขตเมืองเก่า และเกาะแก่งอื่นๆ 

เมื่อเดินไปถึงเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกพอดี เราถึงกับตะลึงกับภาพความสวยตรงหน้า บ้านเมืองเก่าแก่วางตัวเรียงรายตามเกาะต่างๆ ขณะที่แสงที่ค่อยๆ อ่อนลงสลับกับแสงไฟที่สว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ แทน แผ่นน้ำแข็งขาวโพลนทอดตัวเต็มแม่น้ำทั้งหมดเคล้าไปด้วยอากาศเย็นเจี๊ยบ -2 ถึง -4 องศาเซลเซียส ระหว่างอยู่ตรงนั้นคิดเลยว่าช่างเหมาะกับการขอแต่งงานตรงนี้หรือเซอร์ไพรส์แฟนที่สุด

ทั้งหมดทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมคนสวีเดนถึงภูมิใจในเมืองหลวงของพวกเขาเสียเหลือเกิน และทำไมคนทั่วโลกถึงยกให้เป็นเมืองหลวงที่สวยงามระดับต้นๆ ของโลก ถ้าอยากรู้ว่าจริงไหม คงต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วละ


ทุกวันนี้สายการบินไทยมีเที่ยวบินบินตรงถึงสตอกโฮล์มถี่มากๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
flights.thaiairways.com/th-th/เที่ยวบิน-ไป-สตอกโฮล์ม (ภาษาไทย)
flights.thaiairways.com/en-th/flights-to-stockholm (ภาษาอังกฤษ)

 

ขอขอบคุณ: การบินไทย