Traveller's Companion | Traveller's Companion | 22 September 2019
ตอนนี้ถ้าไม่พูดถึงห้างใหม่กลางกรุงที่ฮิตที่สุดอย่าง “สามย่านมิตรทาวน์” เห็นจะไม่ได้เสียแล้ว เพราะที่นี่นอกจากจะมาในคอนเซ็ปต์ใหม่ในคอนเซ็ปต์ มิกซ์ยูสด์ ที่รวมหลากหลายไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างที่อยู่อาศัย ออศฟิศ โคเวิร์คกิ้งสเปซ ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านช็อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกันแล้ว อีกสปอตไลท์ที่ดึงดูดให้หลายคนต้องตรงมาที่นี่โดยเฉพาะก็คือ “MUJI สามย่านมิตรทาวน์” ซึ่งนอกจากจะเป็นมูจิที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ตอนนี้แล้ว ที่นี่ยังเป็นมูจิที่บอกเล่าปรัชญาแบบฉบับมูจิเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ที่สำคัญที่นี่เป็นมูจิแห่งแรกในไทยที่มี Coffee Corner อยู่ใจกลางร้านให้ได้จิบกาแฟพร้อมดื่มด่ำความน้อยแต่มากอันเป็นคาแรกเตอร์ของมูจิซึ่งสะท้อนอยู่ในทุกมุมของร้าน แน่นอนว่าเพื่อนเดินทางได้เก็บรายละเอียดความมูจิที่ไม่เหมือนใครในสาขาใหม่นี้มาฝากเช่นกัน
ชมโปสเตอร์มูจิต้นฉบับใน Open MUJI
ถ้าใครเคยมีโอกาสไปโรงแรมมูจิสาขาแรกในญี่ปุ่นที่ Ginza จะพบว่าที่นั่นมีโซนแกลเลอรี่ที่มีนิทรรศการหมุนเวียนและเวิร์คช็อปต่างๆ ซึ่งได้รับการคัดสรรมาแล้วว่าสามารถบอกเล่าปรัชญาของมูจิไว้ได้อย่างแนบเนียน สำหรับสาขาใหม่นี้ได้เปิดโซน Open MUJI ให้เป็นมุมนิทรรศการเล็กๆ อยู่ใกล้กับ Coffee Corner ประเดิมนิทรรศการแรกด้วยโปสเตอร์มูจิที่มีทั้งฉบับออริจินัลมาจัดแสดง ในชื่อนิทรรศการ “MUJI Poster Archive”
ดูเผินๆ โปสเตอร์เหล่านี้ก็ไม่ต่างกับโปสเตอร์โฆษณาสินค้าทั่วไป แต่โปสเตอร์มูจิล้วนไม่ธรรมดาด้วยการนำปรัชญาแต่ละด้านของมูจิมาใส่ไว้ คัดเลือกโปสเตอร์มาตั้งแต่ปี 1980 จนถึงช่วงปลายปี 1990 เช่น โปสเตอร์รูปเด็กบนพื้นกระดาษสีน้ำตาลซึ่งเป็นต้นฉบับนั้นชัดเจนว่าหมายถึง no-brand quality goods เปรียบมูจิเป็นเด็กที่ไม่ต้องเสริมแต่งอะไรเพิ่มเติม แม้จะเรียบง่าย แต่เน้นให้คุณภาพขายตัวของมันเอง เป็นการรวมกันระหว่างปรัชญา “ไร้ซึ่งอัตลักษณ์” และ ”สินค้าคุณภาพ” บนโปสเตอร์เรียบๆ แผ่นนี้
ส่วนโปสเตอร์ปลากระป๋องนั้นก็ทำให้เราแปลกใจว่าครั้งหนึ่งมูจิเคยผลิตปลากระป๋อง และปลากระป๋องของมูจิก็โด่งดังมากในฐานะผู้คิดค้นวิธีใหม่ในการผลิตปลาที่ใช้ปลาทั้งตัวแบบไม่เหลือทิ้ง เรียกได้ว่าแนวทาง Food Waste ของมูจินั้นมีมานานมากแล้ว และที่เราชอบมากอีกชิ้น คือ โปสเตอร์เด็กผู้ชายขี่คอชายหนุ่มซึ่งทั้งคู่แต่งตัวด้วยเสื้อกล้ามมูจิแบบเดียวกัน กินความหมายทั้งความยั่งยืนของแบรนด์และสินค้าที่ใส่มาตั้งแต่เด็กจนโต
ร้านหนังสือ MUJI Books
ติดกับมุมนิทรรศการคือร้านหนังสือเล็กๆ ของมูจิ มีทั้งหนังสือญี่ปุ่น หนังสือภาษาไทย และอังกฤษ หมวดของหนังสือส่วนใหญ่เน้นไปที่งานคราฟท์ งานดีไซน์ที่สะท้อนความน้อยแต่มากของมูจิ แน่นอนว่ามีหนังสือแบรนด์ที่บอกเล่าทุกปรัชญา ทุกแนวคิดของมูจิ แต่ที่เราชอบเป็นพิเศษคือหมวดหนังสือเกี่ยวกับอาหารการกิน บอกเลยว่าเห็นแค่ปกก็น่ารัก น่าซื้อแล้ว
จิบกาแฟมูจิที่ Coffee Corner
แม้ร้านอาหารมูจิจะยังมาไม่ถึงเมืองไทย แต่ตอนนี้แฟนมูจิสามารถแวะมาจิบกาแฟสไตล์มูจิได้ก่อนที่ MUJI Coffee Corner ซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง ที่นี่แม้จะเป็นมุมกาแฟเล็กๆ ไม่กี่ที่นั่ง แต่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราว เริ่มจากการเลือกใช้กาแฟจากดอยตุง ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการพัฒนากาแฟไทย ตรงตามปรัชญาการทำงานโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของแบรนด์มูจิ
ด้านพาสทรี่และขนมอบ ทาง MUJI เลือกที่จะดึงขนมจากร้าน 60 Plus Bakery & Cafe มาวางขาย เบเกอร์รี่ร้านนี้ดีอย่างไร คำตอบคือเป็นร้านขนมที่ฝึกอาชีพให้กับคนพิเศษในสังคมไม่ว่าจะเป็นผู้พิการ หรือผู้ที่มีอาการออทิสติก หลายคนอาจจะคุ้นๆ ว่าขนมร้าน 60 Plus Bakery & Cafe นั้นมีหน้าตาคล้ายกับขนมของร้าน Yamazaki เหตุผลก็เพราะ Yamazaki คือผู้ที่มาฝึกอบรมการทำขนมให้กับ 60 Plus Bakery & Cafe นั่นเอง
ในส่วนของขนมเค้กนั้น มูจิเลือกจับกับร้าน Size S ที่ทำขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ให้คาแรกเตอร์ความเป็นญี่ปุ่น ส่วนเมนูที่เราขอยกนิ้วว่าดีงามมากๆ สำหรับ MUJI Coffee Corner คือ ชาเขียว ทั้งชาเขียวร้อนลาเต้ และขาเขียวเย็น บอกเลยว่ามีความเข้มข้นของชาเขียวมากถึงมากที่สุด และด้วยความเป็นมูจิ ใครที่สั่งกาแฟร้อนซึ่งเป็นแก้วกระดาษสีน้ำตาล สามารถนำแก้วไปปั๊มลายที่มุม MUJI Yourself ได้อีก ใครอยากได้แก้วกาแฟลายพิเศษใบเดียวในโลก เรียนเชิญปักหมุด
RE MUJI
RE MUJI ไม่ได้มีในทุกสาขาของมูจิ ทว่าที่สาขาสามย่านมิตรทาวน์นั้นเสื้อผ้า RE MUJI มีให้เลือกค่อนข้างเยอะมาก RE MUJI คืออะไร? RE MUJI คือ การลดขยะด้วยการนำเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นเก่าของมูจิที่กำลังจะถูกทำลาย กลับมาผลิตใหม่ด้วยวิธีการย้อมสี พิเศษตรงที่เป็นการย้อมคราม ดังนั้นเสื้อผ้าใน คอลเล็คชั่น RE MUJI จึงมีสีน้ำเงินครามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สายคราฟท์ สายครามเห็นแล้วถึงกับมือสั่นเลยทีเดียว
บริการพิเศษในแบบฉบับ MUJI
แม้แบรนด์มูจิจะเน้นความเรียบง่าย แต่ก็มักจะมีกิมมิคน่ารักๆ ให้เราได้หลงรักอยู่เสมอ นอกจาก MUJI Yourself ที่เราสามารถนำสมุดไปประทับลายได้ตามใจแล้ว ในส่วนของสินค้าประเภทผ้าทอนั้น มูจิยังมีบริการพิเศษที่เรียกว่า Embroidery Service เป็นบริการปักลาย และปักตัวอักษรลงไปบนผ้า ซึ่งมีให้เลือกกว่า 200 ดีไซน์
อ้อ! และนอกจากงานปักลายแล้ว มูจิสาขานี้ยังเป็นสาขาเดียวที่ให้บริการตัดขากางเกงฟรีอีกด้วย และใครที่ถามหาคอลเล็คชั่นพิเศษ ที่นี่มีกระเป๋าผ้าลายไทยๆ อย่างรถตุ๊กตุ๊ก มวยไทย ให้ได้ช็อปด้วย
ขอละจากโซนเสื้อผ้าไปที่ส่วนของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านกันบ้าง ที่สาขานี้มี Interior Consultation Service ให้บริการคำปรึกษาด้านการตกแต่งภายในโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมจาก MUJI ประเทศญี่ปุ่น ลงลึกไปถึงปัญหาของพื้นที่ของแต่ละคน รวมทั้งแก้ปัญหาด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และด้วยความละเอียดของมูจิ ทำให้แผนกนี้สามารถวางผังเฟอร์นิเจอร์ในรูปแบบของ 3D ให้เห็นชัดๆ กันไปเลย เรียกได้ว่าจริงจังไม่แพ้ร้านเฟอร์นิเจอร์ สมกับเป็นแบรนด์ที่นำทุกคาแรกเตอร์ของความเป็นญี่ปุ่นออกมาสื่อสารกับคนทั่วโลกจริงๆ