×

ขับรถบ้านลุย Road Trip สุดมันใน “ดินแดนแห่งฝุ่นทราย” ใจกลางออสเตรเลีย (ตอนจบ)

จารุวรรณ ชื่นชูศรี | Writer | 12 January 2019


“Because in the end, you won’t remember the time you spent working in the office or mowing your lawn. Climb that goddamn mountain.” – Jack Kerouac

ได้เวลากลับมาสานต่อการเดินทางโร้ดทริปตัดผ่ากลางออสเตรเลียในตอนจบกันแล้ว หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งสัปดาห์ปักหลักท่องเที่ยวเฉพาะตัว Uluru และบริเวณรอบๆ นั้น ในวันสุดท้ายก่อนที่จะละจากฐานที่มั่นนี้ไปเราก็มุ่งหน้าสู่อีกหนึ่งสถานที่ไฮกิ้งระยะทางสั้นๆ ที่เดินยังไม่ทันเหงื่อหยดแต่ความอลังการไม่แพ้ทางสมบุกสมบันแน่นอน

Hello Sunshine! ตื่นมาทักทายตะวัน

ถ้ามีคนถามว่าหนึ่งในพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมาคือที่ไหน ฉันคงไม่ลังเลใจเลยที่จะตอบว่าที่นี่ ราวหกโมงนิดๆ ขณะที่อากาศกำลังเย็นสบาย เราต่างก็มายืนหน้าสลอนโดยพร้อมเพรียงกันหน้าราวกั้น ไกลออกไปคือทุ่งดอกไม้ป่าที่นำสายตาเราไปบรรจบกับ Uluru ซึ่งตั้งตระหง่านเห็นเพียงเงาอยู่ลิบๆ เพียงชั่วอึดใจเดียวก่อนที่ใครจะทันตั้งตัว แสงแรกของดวงตะวันก็เริ่มอาบย้อมทุ่งดอกไม้ที่เห็นจนกลายเป็นสีทองอมส้ม เป็นช่วงเวลาที่เวทมนตร์กำลังสะกดให้เราต้องจ้องมองเพราะความสวยจนแทบหยุดหายใจ



เหล่านักท่องเที่ยวสูงวัยรอบข้างต่างคว้ากล้องคอมแพกต์รุ่นเก่าออกมาเก็บภาพกันอย่างไม่น้อยหน้า บางคนก็ใช้ช่วงเวลานี้บันทึกความทรงจำกลับไปเป็นวิดีโอ ขณะที่พวกเราหลังจากลั่นชัตเตอร์จนพอใจแล้วก็เลือกมานั่งบนราวกั้น เพื่อซึมซับภาพของแสงสีทองที่อาบไล้แนวเทือกเขารอบด้าน และจุดหมายถัดไปที่เราเตรียมตัวไปเยือนก่อนลาจากละแวกนี้ก็คือหนึ่งในหุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาหมอกนั่นเอง...หุบเขาแห่งสายลม



Valley of the Wind เมื่อสายลมพัดพาให้มาเจอ

ไม่ใช่เพียงสายลมที่พัดเบาๆ พอคลายอากาศร้อนอ้าวที่มาทักทายเราเท่านั้น แต่ทันทีที่เหยียบเท้าเข้าหุบเขาดินแดงแห่งนี้ละอองเม็ดฝนเย็นฉ่ำก็โปรยปรายลงมากระทบหน้าราวกับจะต้อนรับ ด้วยระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรที่จะมาไฮกิ้งกันวันนี้ ก็ได้แต่ฝากความหวังว่าเราจะไม่ถูกโจมตีด้วยฝนห่าใหญ่ก่อนถึงจุดหมาย สำหรับ Valley of the Wind นั้นมีลักษณะเป็นหุบเขาที่แหวกช่องตรงกลางให้สายลมพัดผ่าน ระหว่างทางนอกจากต้นไม้เขียวชอุ่มที่ยืนกล้าท้าแดดเป็นหย่อมๆ แล้วยังมีดงดอกไม้ป่าสีขาวสะอาดตาแซมไปกับภูเขาสีแดงให้พอดูไม่แห้งแล้งจนเกินไปนัก 

เราใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงในการเดินไปยังจุดชมวิวปลายทาง ณ จุดนี้นอกจากภาพเบื้องหน้าที่เป็นแนวทิวเขาสุดลูกหูลูกตายังเป็นจุดที่ลมพัดแรงจัดสมกับชื่อ Valley of the Wind อีกด้วย สำหรับใครที่ไม่ถนัดการเดินเท้าไกลๆ หลายชั่วโมงแต่อยากชมความสวยงามของทิวทัศน์แบบ Northern Territory ของออสเตรเลีย คิดว่าหุบเขาแห่งนี้น่าจะตอบโจทย์อยู่
 

 

“King Canyon” ราชาแห่งผาสูง

คืนนั้นเราเก็บข้าวของ เติมน้ำใส่รถบ้านจนเต็ม ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ราวเที่ยงคืน ปล่อยคนที่ทำหน้าขับรถให้ได้กินอิ่มนอนหลับ ทันทีที่เสียงนาฬิกาดังเราก็พร้อมมุ่งหน้าออกเดินทางอีกครั้ง จุดหมายปลายทางก็ไม่ใช่อื่นไกล หากแต่เป็นหุบเหวหินผาชื่อดังที่ทุกโปรแกรมขับรถเที่ยวต้องมาเยือนอย่าง King Canyon

สำหรับคนที่เคยเห็นภาพ Grand Canyon แต่เพียงในรูปอย่างเรานับว่าความอลังการของเจ้าหุบเหวแห่งนี้ก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้ไม่เบาแล้ว หลังจากถูกปลุกราวตีห้า หยิบขนม นม น้ำใส่ย่ามติดไม้ติดมือเผื่อหิว และเข้าห้องน้ำดีๆ เป็นครั้งสุดท้าย (เพราะหลังจากนี้อีกกว่าครึ่งวันจะไม่มีคำว่าห้องน้ำอีกแล้ว) เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นจุดแรก สำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีโรคประจำตัวไม่แนะนำให้เดินแบบเต็มระยะทางเด็ดขาด เพราะนอกจากทางที่ค่อนข้างชันและต้องใช้ทั้งแรงส่งบวกความอดทนประมาณหนึ่งแล้ว อากาศที่ร้อนอบอ้าวร่วมกับแสงแดดแผดจ้ายังเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่อาจทำให้หลายคนถอดใจได้



แน่นอนว่าความน่าตื่นตาตื่นใจของ King Canyon อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายรูปออกมาและเปรียบเทียบขนาดของตัวคนกับหุบเหวที่กินพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตาแล้วนับว่ายิ่งใหญ่เกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำจำกัดความได้ ความน่าประทับใจอีกหนึ่งอย่างของที่นี่คือการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนระหว่างสิ่งที่มนุษย์และธรรมชาติสร้าง เพราะในบริเวณที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยอย่างสะพานหรือบันไดนั้น ทางเจ้าหน้าที่เลือกใช้วัสดุตลอดจนรูปแบบที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติมาก ทำให้ไม่รู้สึกถึงการบุกรุกอาณาเขตธรรมชาติแต่อย่างใด  และหลังจากที่กัดฟันเดินจนเหงื่อแห้งแล้วแห้งอีกกว่าครึ่งวัน หลังจากพระอาทิตย์คล้อยสู่ยามบ่าย ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางด้วยสภาพอ่อนระโหยโรยแรงกันทุกคน บอกได้คำเดียวว่าหมดแรงข้าวต้มแล้วจ้า



Coober Pedy ย้อนไปในหนังแนววินเทจ

หลังจากแวะหาอะไรใส่ท้องให้สมกับพลังงานที่ได้ใช้ไป เราก็เลือกขับรถกันต่อเพื่อไปแวะจอดรถนอนในบริเวณแคมป์ปิ้งที่ Coober Pedy เมืองที่อย่างกับหลุดมาจากหนังวินเทจ เรียกได้ว่าถ้า Alice Spring คือประตูสู่ดินแดนแห่งฝุ่นทราย Coober Pedy ก็คงเปรียบเสมือนประดูด่านสุดท้ายก่อนที่เราจะโบกมือลาความร้อนแล้ง

สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับเมืองเล็กๆ ซึ่งมีจุดขายคือความเก่าแก่ของสภาพเมืองแล้ว จะขับรถยิงยาวเลยผ่านเมืองนี้ไปก็ย่อมได้ แต่สำหรับใครที่อยากเห็นภาพของออสเตรเลียในสมัยก่อน สมัยที่ผู้คนฝ่าฟันสภาพอากาศอันโหดร้ายเข้ามาลงหลักปักฐาน ขุดเหมือง ขุดอุโมงค์ หวังรวยจากอัญมณีโอปอลซึ่งเร้นกายอยู่ใต้ชั้นหิน นับว่า Coober Pedy เป็นเมืองที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ที่สำคัญ Coober Pedy เป็นเมืองที่ผลิตอัญมณีโอปอลส่งตลาดรายใหญ่ที่สุดในโลก กินสัดส่วนถึง 85% เลยทีเดียว

สถานที่เที่ยวภายใน Coober Pedy นั้นมีไม่มากนัก นอกจากโบสถ์ใต้ดินที่มีกระจกสีสวยประดับแล้วเราเลือกใช้เวลาที่เหลือไปกับพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเหมืองโอปอลที่จัดแสดงทั้งอุปกรณ์ทำเหมืองตลอดจนการใช้ชีวิตใต้อุโมงค์ในเหมืองของจริง การชมเหมืองใช้เวลาไม่นานนักแต่เต็มไปด้วยรายละเอียด ยิ่งถ้าใครชอบสะสมอัญมณีแล้วละก็ หลังจากทัวร์ชมอุโมงค์เหมืองเสร็จแล้วยังสามารถแวะอุดหนุนเครื่องประดับตลอดจนของแต่งบ้านชิ้นเล็กๆ ที่ทำจากโอปอลหลากหลายเกรดได้

 

สู่ Adelaide และ Melbourne เมื่อความเจริญกลับมาอีกครั้ง

หลังจากไปกินนอนคลุกฝุ่นอยู่ราวสัปดาห์กว่า ในที่สุดเราก็ต้องโบกมือลาฝุ่นดินแดงสู่ความเจริญอีกครั้ง หลังจากพักผ่อนจนเต็มอิ่ม คนที่ทำหน้าที่ขับรถบ้านและรถ SUV ในทริปนี้ของเราก็ต้องทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่อีกครั้ง นั่นคือการขับรถยิงยาวมากกว่าสิบชั่วโมงตัดผ่านความเวิ้งว้างเข้าสู่เขตเมืองที่ใกล้ที่สุดอย่าง Adelaide การขับรถบนถนนตรงยาวเหยียดที่ขนาบด้วยทุ่งหญ้า ทิวเขา และทะเลสาบสองฟากฝั่งจะว่าเป็นงานสบายก็ไม่เชิง เพราะสองฝั่งถนนคือความเวิ้งว้าง อีกทั้งอาจมีสัตว์ป่าวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ หลักฐานของความน่าสลดใจนี้ปรากฏอยู่ในรูปของซากสัตว์นานาชนิดที่นอนตายเกลื่อนให้เห็นทุก 5 หรือ 10 กิโลเมตร ไม่ว่าจะเป็นวัลลาบี นกต่างๆ หรือกระทั่งจิงโจ้ ซึ่งรถเราก็เกือบเกิดอุบัติเหตุเพราะซากของนกอีมูขนาดใหญ่ที่ตายขวางกลางถนน โชคดีที่คนขับยังมีสติดี

จวบจนยามเย็นในที่สุดเราก็มาถึง Adelaide จนได้ ไม่รอช้าหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรดีๆ มาหลายวัน เราต่างพยักหน้าชวนกันตรงเข้าร้านอาหารเอเชียที่อยากกินทันที ณ เมืองแห่งนี้เพื่อนร่วมทางบางคนจะสิ้นสุดการเดินทางของตัวเองเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายอื่นโดยเครื่องบิน เราเลือกที่จะคืนรถบ้านพาหนะคันใหญ่คู่ใจที่พาบุกตะลุยตลอดช่วงเวลากว่าสัปดาห์ไว้ที่นี่ เหลือเพียงรถ SUV และเพื่อนร่วมทางเพียง 3 คน แล้วมุ่งหน้าลงใต้เพื่อนำรถไปคืนยังเมลเบิร์นเป็นอันสิ้นสุดโร้ดทริปครั้งนี้อย่างสมบูรณ์

จากเพื่อนร่วมทริป 9 ชีวิต ยามนี้เหลือเพียง 4 จากเสียงสนุกครึกครื้นก็ดูจะเงียบเหงาลงไปโข เราใช้เวลาร่วมกันในคืนสุดท้ายใต้ละอองฝนที่หนาวจับใจใน Camping Site แถวๆ Grampians National Park น่าเจ็บใจนักที่ฝนตกทั้งวันจนหมอกลงหนา แม้แต่พระอาทิตย์ตกครั้งสุดท้ายก็ยังไม่ได้เห็น ทว่าการเดินทางก็เป็นเช่นนี้แหละ แม้มีจุดหมายปลายทางในใจอยู่แล้วแต่เราไม่มีวันรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างนั้นบ้าง ทริปทุกทริป การเดินทางทุกครั้งจึงมีความหมายและความทรงจำในตัวมันเองเสมอ

แด่การโร้ดทริปครั้งแรก และเพื่อนร่วมทริปอีก 8 ชีวิต
“Know where to find the sunrise and sunset times and note how the sky looks at those times, at least once.”