จารุวรรณ ชื่นชูศรี | Writer | 13 May 2019
“Follow, follow the sun. And which way the wind blows. When this day is done...”
ท่วงทำนองอันคุ้นเคยดังลอดออกมาจากแอปพลิเคชันฟังเพลงเจ้าดังที่ฉันยอมเสียค่าสมาชิกรายเดือนจนอดฮัมเพลงตามเบาๆ ไม่ได้ รสชาติของการออกเดินทางอีกครั้งนั้นช่างหอมหวาน แม้มีเพียงสายลมที่ลอยมาปะทะหน้าจากกระจกหน้าต่างครึ่งบานที่ถูกไขลงไว้ แต่ฉันรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า กลิ่นของทะเล แสงแดดอุ่นๆ รวมถึงทิวทัศน์ที่เคยเห็นแต่ในโปสต์การ์ดจะปรากฏกายต่อหน้าเหมือนนักมายากลที่หยิบผ้าหลากสีออกมาจากกล่อง
ในขณะที่รถยนต์หลายคันกำลังมุ่งหน้าสู่ใจกลางเมลเบิร์น เรากลับทิ้งภาพของเมืองอันแสนจอแจไว้เบื้องหลัง ในฐานะผู้โดยสารที่มือไม่ต้องแตะพวงมาลัยให้เสียพลังงานฉันจึงถือโอกาสนี้เช็กแบตเตอรี่ในกล้องว่าชาร์จมาดีแน่แท้หรือเปล่า เพราะถนนเลียบฝั่งทะเลที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนี้เป็นถึงหนึ่งในถนนสายที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดของออสเตรเลียที่ฉันแอบแถมพ่วงตำแหน่ง “โรแมนติกที่สุด” เข้าไปให้ด้วยอย่าง “Great Ocean Road” นั่นเอง
บนเส้นทางความยาวกว่าสองร้อยห้าสิบกิโลเมตรจากเมืองทอร์คีย์ (Torquay) มีจุดแวะพักน่าสนใจมากเกินกว่าจะรวบรัดตัดความได้ในวันเดียว น่าเสียดายที่นักท่องเที่ยวหลายคนมักให้เวลากับถนนเลียบชายฝั่งเส้นนี้เพียงชั่วดวงอาทิตย์ขึ้นหนึ่งครั้งและลงหนึ่งครั้งเท่านั้น จากเมืองใหญ่ในรัฐวิกตอเรียโดยเฉพาะเมลเบิร์นมีบริษัทนำทัวร์มากมายที่จัดทัวร์ One Day Trip ให้นักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถหรืออยากประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เลือกหากันตามสะดวก แต่สำหรับใครที่มีเวลาและงบประมาณเอื้ออำนวยฉันอยากแนะนำให้เช่ารถขับเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลเส้นนี้ด้วยตัวเอง
ไม่มีเม็ดทรายเม็ดไหนที่คล้ายกัน
ด้วยภูมิประเทศของออสเตรเลียที่ล้อมรอบด้วยทะเลจากทุกทิศ จึงไม่น่าแปลกใจหากประเทศนี้จะมีชายหาดจำนวนนับไม่ถ้วน และแม้หลายแห่งจะเป็นหาดที่อยู่ใกล้เคียงกันเพียงชั่วระยะเดินถึง แต่ด้วยทิศทางลม คลื่นทะเล ตลอดจนวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนท้องถิ่นกลับสร้างเอกลักษณ์ให้แต่ละชายหาดไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปกับงานสตรีตอาร์ตขอแนะนำให้จอดรถแวะทักทายกีลอง (Geelong) สักชั่วครู่ เพราะนอกจากกลิ่นอายอันสดชื่นของทะเลแล้ว เมืองเล็กๆ ติดชายฝั่งเมืองนี้ยังมีดีที่เหล่ารูปปั้นสุดเก๋รูปใบหน้าคนในคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่กระจายอยู่ตลอดแนวชายหาด เป็นเหมือนอีสเตอร์เอ้กให้เราได้ตามค้นหา
แต่ถ้าใครเป็นสาวกกีฬาเอกซ์ตรีมจะข้ามไปยังทอร์คีย์เลยก็ไม่ว่ากัน เพราะสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือชายหาดที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักเซิร์ฟ ด้วยกระแสคลื่นที่แรงกำลังดีและการรักษาความปลอดภัยชวนอุ่นใจของไลฟ์การ์ดทำให้เหล่านักเซิร์ฟทั้งระดับฝึกหัดและแอดวานซ์ต่างมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้เพื่อใช้เวลาท้าทายกระแสเกลียวคลื่น
ในวันที่แสงส่องลงยังผืนทะเล
เส้นทางเลียบชายฝั่ง Great Ocean Road นั้นเต็มไปด้วยโค้งนับร้อย ทว่าทุกครั้งที่พาหนะพาเราพ้นแนวผา ภาพของท้องทะเลสีฟ้าจัดตัดกับเหลี่ยมเขาสีน้ำตาลแดงแซมด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ก็ยังเป็นอะไรที่ทำให้เราเผลออุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจได้เสมอ โดยเฉพาะในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจส่งเมฆขาวมาช่วยคลอเคลียแสงแดดไม่ให้จัดจ้าจนเกินไป ทว่าก็ไม่ได้ทำเกินหน้าที่จนปิดฟ้าให้มืดครึ้ม
ก่อนที่จะตกลงใจแวะกินฟิชแอนด์ชิปที่ลอร์น (Lorne) สวรรค์นักเซิร์ฟอีกเมืองหนึ่ง แผนที่ในมือก็กระตุกให้เราแวะชมประภาคารที่ได้ฉายาว่าเป็น The White Queen อย่าง Split Point Lighthouse เสียก่อน ความสวยงามของสิ่งก่อสร้างสีขาวโดมแดงที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีเข้มทำให้ทุกคนพร้อมใจกันยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาลั่นชัตเตอร์ สำหรับคนที่อยากขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงบนประภาคารก็สามารถซื้อทัวร์จากตรงนั้นได้
แต่สำหรับเราขอเลือกปลีกตัวออกมานั่งจิบชาที่คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งได้น่ารักอบอุ่นพิกัดระยะเดินได้จากประภาคารเท่านั้นเอง ส่วนใครอยากส่งโปสต์การ์ดกลับบ้านที่คาเฟ่นี้ก็มีบริการตั้งแต่ซื้อโปสต์การ์ด ติดแสตมป์ จนรับฝากส่ง ถ้าไม่รีบร้อนจนเกินไปอย่าลืมแวะจิบชาร้อนๆ จรดปากกาบอกเล่าความประทับใจส่งถึงคนที่รักกันนะ
คู่ผืนน้ำจนนิจนิรันดร์
เมื่อดวงอาทิตย์เลื่อนลงจวบจนเกือบแตะยอดไม้ เราก็เดินทางมาถึงไฮไลต์ของถนนสายโรแมนติกเส้นนี้ เสียงลั่นชัตเตอร์ของนักท่องเที่ยวอื้ออึงตลอดแนวทางเดินสู่จุดชมวิว 12 Apostles หรือหมู่หินธรรมชาติที่ตั้งตระหง่านท้าลมฝนละอองแดดใน Port Campbell National Park ไม่ขาดสาย
แม้ปัจจุบันสมาชิกกลุ่มหินดังกล่าวนี้จะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาแล้ว 1 หน่วยจนเหลือเพียง 8 ต้น ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ความน่าอัศจรรย์ใจของวิวธรรมชาติตรงหน้าลดน้อยลงแต่อย่างใด...ใช่แล้วเรากำลังจะบอกว่าเจ้าเสาหินนี้แม้จะชื่อ 12 Apostles แต่จริงๆ แล้วเดิมมีเพียง 9 ต้นเท่านั้น ว่ากันว่าที่มาของชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องราวทางศาสนาคริสต์เพียงเท่านั้น
ภาพของหมู่หินธรรมชาติซึ่งกระจายตัวเรียงรายบนผืนน้ำระยิบระยับกว้างใหญ่นั้นทำให้หัวใจเต้นตึกตัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่แสงสีทองส่องผ่านละอองน้ำซึ่งฟุ้งกระจายคล้ายเป็นม่านหมอกบางๆ ปกคลุมบรรยากาศให้ชวนฝัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าช่วงเวลาเมื่อหลายพันปีที่แล้วกว่าที่แนวชายฝั่งจะถูกกัดเซาะจนกลายเป็นหมู่หินตรงหน้านี้ สิ่งมีชีวิตแต่ละช่วงเวลาจะได้ยลความงดงามของทิวทัศน์นี้ในรูปแบบไหนกันบ้าง
ก่อนตะวันลับลา
ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติยังไม่จบเพียงแค่นี้ สำหรับคนที่มีเวลาเหลือหรือตกลงใจที่จะแคมป์ปิ้งค้างคืนระหว่างเส้นทาง หากขับมุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ยังมีจุดชมวิวสวยๆ อย่าง London Arch หน้าผาที่มีรูปทรงเหมือนสะพานถล่ม และ Loch Ard Gorge โตรกผาขนาดมหึมาซึ่งตีโอบล้อมทะเลจนเป็นแอ่งตรงกลางชวนให้พิศวงรออยู่เช่นกัน รับรองว่าตลอดเส้นทางเลียบแนวฝั่งทะเลนี้จะไม่มีคำว่าผิดหวังมอบให้แน่นอน
เพราะธรรมชาตินั้นแสนยิ่งใหญ่ ในขณะที่เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อยผู้ไม่อาจหาญต้านทาน ทว่ามีสิทธิ์เต็มที่ในการซึมซับและดื่มด่ำกับสิ่งเหล่านี้ ฉันหลับตาปล่อยให้สายลมและแสงสุดท้ายของวันอาบไล้ใบหน้าเรื่อยไปยังเส้นผม เสียงเพลงจากวิทยุตัวเก่าในรถแว่วมากระทบหู รู้สึกขอบคุณชีวิตที่ยังให้ฉันได้หายใจต่อเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติในวันนี้ และวันต่อๆ ไป
“…Breathe, breathe in the air. Set your intentions. Dream with care. Tomorrow is a new day for everyone. Brand new moon, brand new sun...”