×

“Whitby” เมืองนี้คือจุดเริ่มต้นของตำนานแดร็กคูล่าในอังกฤษ

อรุณี ชูบุญราษฎร์ | writer | 06 August 2019



“คืนนี้เราจะไปนอนที่ Whitby กันนะคะ”
เปิ้ลบอกหลังจากพาฉันไปตามหาทุ่งสีม่วงของดอกบลูเบลล์ที่บริกเฮาส์กันแล้ว แต่ระหว่างทางขอพาเลี้ยวไปดื่มชายามบ่ายในเมือง Harrogate เพราะอยากให้ไปดื่มชาในร้านประวัติศาสตร์ของซึ่งปีนี้ฉลองครบ 100 ปีของร้าน ดีเหมือนกันเพราะแซนด์วิชบนรถไฟเมื่อสายๆ ก็ย่อยไปหมดแล้ว ถนนหนทางที่นี่ก็ดี ถ้าไม่มีอุบัติเหตุหรือปัญหาการจราจร ดังนั้นระยะทาง 49 กิโลเมตร น่าจะใช้เวลาขับรถไม่เกิน 45 นาที ก็ไปถึงที่หมายตามเวลาที่กะไว้คือประมาณบ่าย 3 โมง



ฉันเพิ่งเคยได้ยินชื่อ “Harrogate” เมืองแห่งน้ำแร่และสปาเป็นครั้งแรกแต่ชื่อร้านเบตตีส์ (Betty’s Coffee Tea Room) เคยผ่านหูผ่านตามาแล้วจากกระป๋องน่ารักที่เปิ้ลนำไปฝากที่กรุงเทพฯ เมื่อตอนต้นปี ที่ Harrogate วันนี้อากาศดีมาก ดอกไม้ผลิบาน ผู้คนเลยออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งกันคึกคัก ปรกติร้านน้ำชาจะมีคิวยาว แต่วันนี้บ่ายมากแล้วเราเลยได้โต๊ะทันทีที่เข้าไป หลังจากกินขนมอร่อยในตำนานกับชาหอมๆ แล้วเรายังมีเวลาเดินเที่ยวในเมืองกันนิดหน่อยก่อนขับรถไป Whitby ต่อ



ระหว่างทางไกด์ส่วนตัวของฉันให้ข้อมูลเบื้องต้นของ Whitby ไว้ว่า “เป็นเมืองที่เรือของแดร็กคูล่ามาเทียบท่าค่ะ”  แต่คืนนี้เรายังไม่ได้ออกตามหาแดร็กคูล่ากันทันที เพราะหลังจากเช็คอินผ่าน Airbnb ในบ้านสไตล์วิคตอเรียนของคุณป้าคนเก๋ ที่อยู่กับสุนัขที่ชื่อ “ชาร์ลี” เราแทบไม่อยากออกไปไหน เพราะห้องพักชั้น 2 นั้นสวยงามน่าอยู่ชนิดที่เห็นแล้วรักเลย โดยเฉพาะเครื่องเรือนทั้งหมดที่เป็นของโบราณนั้นดีไซน์สวยจริง



ห้องของเรามีหน้าต่างที่มองออกไปเห็นเมืองและสวน เรียกได้ว่าวิวดีทีเดียว การจัดการห้องพักง่ายๆ มีตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ เครื่องปิ้งขนมปัง และน้ำดื่มให้ในห้องพร้อม ไม่ต้องไปรบกวนครัวหลักของเจ้าของบ้าน สำหรับมื้อเช้าเจ้าของบ้านเตรียมโยเกิร์ต ผลไม้ ขนมปัง กาแฟไว้ให้แล้ว



ด้วยความที่ยังอิ่มกับอาฟเตอร์นูนทีชุดใหญ่ที่มีทั้งแซนด์วิช สโคน เค้ก กับชาคนละ 1 กา เราเลยกินผลไม้นิดหน่อยแล้วคิดจะเอกเขนกในห้องสวยๆ แบบชิลๆ แต่พอมองออกไปนอกหน้าต่างห้องขณะฟ้ายังโพล้เพล้อยู่และเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เราสองคนจึงมองหน้ากันแล้วลุกขึ้นออกไปตามหาพระจันทร์ดีกว่า



ที่พักเราอยู่บนเนินเขา ต้องเดินลงเนินผ่านถนนเส้นเล็กๆ ผ่านร้านค้าที่ปิดแล้วลงไปจึงจะถึงสะพานท่าเรือจึงจะเจอพระจันทร์สมใจ ซึ่งของจริงที่ลอยอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำนั้นสวยกว่ากล้องจับภาพหลายเท่านัก คืนนี้อากาศไม่เย็นมาก อีกทั้งเป็นคืนวันศุกร์จึงมีนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวเล่น นั่งตามร้านกันไม่น้อย ส่วนเราเดินชมร้านขายของบนถนนเล็กๆ ที่เป็นเส้นทางขึ้นไปยัง อารามวิตบี (Whitby Abby) เดินสักพักอากาศชักเย็นลง เราสองคนเลยชวนกันกลับ แต่ลองเปลี่ยนเส้นทาง ปรากฏว่าหลงทิศค่ะ แล้วทางเดินก็ค่อนข้างมืด เราเลยตัดสินใจเดินกลับเส้นเดิม ขอปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า



ที่พักคืนนี้ทุกอย่างสะดวก ทำให้เราหลับสบายบนเตียงนุ่มๆ ผ้าห่มอุ่นๆ และตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น จากนั้นช่วยกันเตรียมอาหารเช้าแป๊บเดียวก็ได้ดื่มกาแฟขนมปังอุ่นๆ ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง จากนั้นชมวิวสวนดอกไม้ของบ้านอย่างสุขใจก่อนจะเช็คเอาท์ ช่วงครึ่งเช้าวันนี้เรายังคงใช้เวลาอยู่ที่ Whitby เพื่อเดินเที่ยว (แบบสว่างๆ) ไปตามเส้นทางเมื่อคืนที่ความมืดทำให้เราเห็นภาพของเมืองยังไม่ชัดนัก



Whitby ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของนอร์ธยอร์คเชอร์ที่ปากแม่น้ำเอสค์ ถ้าวัดเป็นระยะทาง Whitby อยู่ห่างจากลอนดอนราว 330 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ที่นี่เป็นหนึ่งในเมืองชายทะเลน่ารักและมีเสน่ห์ กลางเมืองมีท่าเรือและบริการเรือท่องเที่ยวที่พานักท่องเที่ยวแล่นออกทะเลเหนือ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง จัดได้ว่า Whitby เป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมในช่วงซัมเมอร์



สำหรับคนที่อยากจะมาเที่ยว Whitby นั้นแนะนำว่า ไหนๆ ก็เสียเวลาเดินทางขนาดนี้แล้ว ให้วางแผนเที่ยวเมืองอื่นๆ ในเขตนอร์ธยอร์เชอร์ด้วยเลย เพราะละแวกนี้ไม่ได้มีแค่เมืองยอร์คแต่ยังมีเมือง Harrogate เมือง Middlesbrough และเมือง Scarborough ที่อยู่ไม่ไกลกัน เราเองก็แวะเที่ยว Harrogate มาแล้ว ระหว่างกลับบริกเฮาส์เราวางแผนจะแวะ Scarborough อีกแห่ง



แม้เราเดินข้าม Whitby Bridge เส้นทางเดียวกับเมื่อคืน แต่แสงแดดทำให้ความรู้สึกในแต่ละมุมต่างไป เมืองมีชีวิตชีวาน่าสนุกด้วยผู้คนที่ค้าขายและมาเที่ยว โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่มาพักผ่อนช่วงวันหยุดอีสต์เตอร์ 4 วัน ยิ่งอากาศอุ่นแบบนี้บอกเลยว่าสวรรค์ของคนเมืองหนาวเลยแหละ จุดหมายของเราอยู่ที่ East Cliff เนินเขาอันเป็นที่ตั้งของอารามวิตบีกับ โบสถ์เซ็นต์แมรี่ (St.Mary Church)ศาสนสถานที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ด้วยทำเลที่ตั้งบนเนินเขาทำให้เราสามารถมองเห็นอารามกับโบสถ์แห่งนี้แบบไกลลิบๆ ได้จากมุมต่างๆ ของเมือง และเมื่ออยู่บนเขาก็ต้องเดินขึ้นไปอีกโดยใช้บันไดแบบซอยเท้าถี่ยิบ 199 ขั้นเพื่อไปชมโครงสร้างสถาปัตยกรรมเก่าแก่จากศตวรรษที่ 7 แบบใกล้ๆ

เราอยากไปเห็นแรงบันดาลใจที่ Bram Stoker ผู้แต่งวรรณกรรมอมตะแนวสยองขวัญเรื่อง “แดร็กคูล่า” ใช้เป็นฉากตอนที่เรือของแดร็กคูล่าเดินทางฝ่าพายุจากทรานซิลเวเนียมาจนถึงขึ้นท่า ณ แผ่นดินอังกฤษที่เมือง Whitby ซึ่งหนึ่งในเหตุผลอาจเพราะอารามแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ง่ายต่อการสังเกตสำหรับนักเดินเรือ และแดร็กคูล่าเองก็คงสังเกตเห็นด้วยเช่นกันจึงแล่นเรือมาขึ้นฝั่งอังกฤษที่เมืองนี้



เราอยากเดินแข่งกับเด็กที่เดินนับก้าวด้วยความตั้งใจ แต่สู้ไม่ไหวเช่นเดียวกับพ่อแม่เด็กที่ต้องหยุดพักครึ่งทางเหมือนกัน แต่นั่นก็ทำให้เราได้หันกลับไปมองดูวิวสวยๆ ของเมืองในมุมสูงและมุมกว้างกว่าเดิม จากจุดนั้นเราจะเห็นภาพทะเลเหนือเบื้องหน้าได้กว้างไกลขึ้น โดยมีเบื้องหลังเป็นกลุ่มซากโบราณสถานที่แม้จะเหลือแค่โครงสร้างสไตล์โกธิค แต่ยังคงสวยงามตระการตา



ตอนขาขึ้นเรารีบเดินเพื่อให้ถึงจุดหมาย จึงขอผ่านตลาดวันหยุด ร้านรวงน่ารักๆ ไปก่อน ตอนลงเราไม่รีบแล้วเลยได้วินโดว์ช้อปปิ้งไปตามทาง แน่นอนว่าของที่ระลึกแดร็กคูล่าก็มีให้ซื้อ แต่ไม่ได้มากมายนักเท่าของที่ระลึกประจำเมืองแบบอื่นๆ นอกจากอารามวิตบีเมืองนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งให้ได้ใช้เวลาตอนบ่าย อย่าง พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์วิกตอเรียน ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเรียนรู้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์รำลึกกัปตันคุก ที่ให้ความรู้เรื่องการเดินเรือ และ พิพิธภัณฑ์วิตบี ที่จะทำให้เรารู้จักเมืองเล็กๆ นี้ในเวลาอันสั้น



“น้องสาวเปิ้ลถามว่าพาพี่มาที่นี่ทำไม ไม่เห็นมีอะไรเลย เพราะคราวที่แล้วเปิ้ลพาเขามากับลูกๆ เด็กๆ สนุกกับการตกปูกันจนเราไม่ได้ดูอะไรเลย เขาเลยไม่ประทับใจ แต่มาคราวนี้ได้เห็นอะไรเยอะเลยค่ะ”
เปิ้ลบอกเมื่อเราเดินลงจากอารามวิตบี ฉันบอกเปิ้ลว่าแค่ได้มาพักบ้านสไตล์วิกตอเรียน ได้เดินเล่นในเมืองน่ารักๆ แบบนี้ก็สนุกแล้วและขอยืนยันว่าเปิ้ลพามาที่นี่ถูกต้องแล้วค่ะ เพราะถ้าฉันมาเที่ยวเองอาจจะมองข้ามที่นี่ไปไม่มีโอกาสได้เห็นได้รู้จักเมืองเล็กน่ารักอีกเมืองของอังกฤษอย่างนี้